สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ จี้กรมปศุสัตว์เอาจริงแก้ปัญหาลักลอบนำเข้าเนื้อหมู ชี้หากปล่อยปละจะเกิดผลผลิตส่วนเกินหมูขุนในไตรมาส 4 ปีนี้ จนเสียหายหนักทั้งระบบ
นายสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กล่าวว่า ในช่วงแรก การลักลอบนำเข้าเนื้อและชิ้นส่วนหมูเข้ามาจำหน่ายในประเทศยังมีจำนวนไม่มากเท่าทุกวันนี้ ซึ่งเครือข่ายผู้เลี้ยงสุกรพยายามหาเบาะแสมาตลอด แต่ทุกวันนี้มีการทำตลาดกันอย่างเปิดเผย และแม้กรมปศุสัตว์จะออกมากวาดล้างอย่างจริงจัง แต่จำนวนที่จับกุมได้ยังคงเป็นส่วนน้อย ดังนั้นจึงออกมาขอความชัดเจนว่าจะสามารถร่วมมือกันอย่างไรได้บ้าง เนื่องจากปัจจุบันมีการส่งเสริมให้เกษตรกรผู้เลี้ยงที่เสียหายจากปัญหาโรคระบาด โดยเฉพาะ ASF เริ่มกลับมาเข้าขุนใหม่แล้วกว่า 1 ล้านตัว ดังนั้นก่อนที่ผลผลิตสุกรจะออกสู่ตลาดในไตรมาสที่ 4 คงไม่สามารถปล่อยให้มีการลักลอบนำเข้าแบบนี้ต่อไปได้
นายสุรชัย กล่าวว่า ภาวะต้นทุนการผลิตสุกรปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2563 จนถึงปัจจุบัน จากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่สูงขึ้น มี Supply น้อยกว่าความต้องการ และถูกซ้ำเติมจากสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ทำให้การเลี้ยงสุกรในปัจจุบัน ผู้เลี้ยงต้องแบกรับภาระต้นทุน โดยไตรมาสที่ 2-3/65 ต้นทุนอยู่ในช่วง 98-101 บาท/กิโลกรัม ในขณะที่ราคาขายสุกรหน้าฟาร์มต้องให้ความร่วมมือกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เพื่อดูแลผู้บริโภคในประเทศ
“ดังนั้น ปัญหาการลักลอบนำเข้าเนื้อหมูที่มีราคาต่ำมาจำหน่ายในประเทศ จึงเป็นเรื่องที่เอารัดเอาเปรียบผู้เลี้ยงสุกรไทย จนถึงขั้นสามารถทำลายการเลี้ยงสุกรไทยเลยก็ว่าได้ จึงต้องจัดแถลงข่าวเพื่อหาวิธีที่เข้มงวดจากภาครัฐและเอกชนในการกำจัดขบวนการดังกล่าว” นายสุรชัย กล่าว
นายสัตวแพทย์วรวุฒิ ศิริปุณย์ ประธานชมรมผู้เลี้ยงสุกรจังหวัดฉะเชิงเทรา ตั้งข้อสังเกตว่า เนื้อหมูที่ลักลอบนำเข้าในช่วงนี้มีราคาที่ต่ำกว่าราคาในประเทศมาก ในขณะที่ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ทั้งโลกแพงพอๆ กัน ดังนั้นเนื้อหมูที่ลักลอบนำเข้า หรือที่ตลาดเรียก “หมูกล่อง” ซึ่งมีราคาเสนอขายต่ำมากนั้น มั่นใจว่าเป็นหมูติดเชื้อ ASF ทั้งหมด
ดังนั้น “หมูกล่อง” ที่เก็บตามห้องเย็นต่างๆ เสมือนระเบิดเวลาของประเทศที่จะทำให้เกิดการระบาดไม่สิ้นสุด และเชื่อว่ากลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์จากเนื้อหมู กลุ่มแปรรูปถนอมอาหาร ก็น่าจะสำรองเนื้อหมูเหล่านี้ไว้เช่นกัน โดยใช้เหตุผลที่ว่า “ไวรัสไม่ติดต่อสู่คน” มาเป็นประโยชน์ในการรับซื้อของขบวนการลักลอบนำเข้าหมูกล่องเหล่านี้ ดังนั้นจึงควรต้องจัดการปัญหานี้อย่างเร่งด่วน
ด้านนายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ยอมรับว่า ภาคอีสานเป็นตลาดที่มีหมูลักลอบนำเข้าสูงเช่นกัน เนื่องจากมีตลาดแปรรูปเนื้อหมู และถนอมอาหารที่ใหญ่มาก ถ้าเนื้อหมูดังกล่าวปนเปื้อนไวรัส ASF ภาคอีสานก็จะมีการกระจายของเชื้อในเนื้อหมูนี้มากเช่นกัน สุดท้ายแล้วจะไปทำร้ายเกษตรกรผู้เลี้ยงในพื้นที่ระลอกใหม่
สำหรับแนวทางแก้ไขนั้น ได้เคยแนะนำให้ดำเนินการในลักษณะ 3 ประสาน ทั้งกรมศุลกากร กรมปศุสัตว์ กรมการค้าภายใน อีกทั้งเห็นว่าการจำหน่ายเนื้อหมูราคาถูกเกินจริง ก็ถือว่าเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการเช่นกัน เพราะเป็นการกระทำความผิดต่อผู้เลี้ยงและผู้ค้า ซึ่งทั้ง 3 หน่วยงานสามารถประสานงานกันได้ เพื่อไม่ให้ประเทศเสียหาย เพราะการลักลอบนำเข้าเนื้อหมูที่อาจปนเปื้อนเชื้อไวรัส หรือแม้แต่สารเร่งเนื้อแดงก็ตาม ถือว่าผิดกฎหมายทั้งนั้น
ส่วนนายสุนทราภรณ์ สิงห์รีวงศ์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ กล่าวว่า ภาคเหนือเป็นพื้นที่ที่ปริมาณเนื้อหมูไม่เพียงพออยู่แล้ว เนื่องจากเป็นพื้นที่แรกที่เสียหายจากการระบาดของโรค ASF ในสุกร จากปกติปริมาณสุกรเข้าโรงฆ่าในพื้นที่อยู่ที่ 2,000-3,000 ตัว/วัน และมีการนำเข้าซากสุกรที่เชือดแล้วประมาณ 70-100 ตัน/วัน ตั้งแต่กรกฎาคมที่ผ่านมามีการนำเข้า “ซากสุกร” ขึ้นมาทางภาคเหนือเพิ่มขึ้นเป็น 160-170 ตัน/วัน ส่งผลกระทบต่อยอดขายสุกรมีชีวิตในฟาร์มเริ่มออกช้าลง 30% ทำให้ต้องเลี้ยงต่อไปจนมีน้ำหนักมากขึ้น ทำให้ราคาหน้าฟาร์มมีทิศทางที่จะอ่อนตัว
ถึงแม้การกลับเข้าขุนใหม่ของผู้เลี้ยงจะเพิ่มขึ้น แต่ผลผลิตยังไม่มาก ซึ่งคาดว่าจะพอเพียงในพื้นที่ภายในสิ้นปีนี้ แต่กลับมีปริมาณเนื้อหมูในตลาดเพิ่มขึ้นผิดปกติ ดังนั้นจึงคาดว่าเป็นเนื้อหมูลักลอบนำเข้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมปศุสัตว์ จึงขอให้ภาครัฐรีบกำจัดเนื้อหมูผิดกฎหมายโดยเร็วที่สุด
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 ส.ค. 65)
Tags: สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ, สมาคมหมู, สุกร, สุรชัย สุทธิธรรม, หมู