นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงาน “ESG Declaration ประกาศเจตนารมณ์ความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล” โดยระบุว่า ปัจจุบัน แนวคิดเรื่องความยั่งยืน ที่ประกอบด้วยประเด็นทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล หรือ ESG ไม่ได้เป็นกระแสระยะสั้นที่มาแล้วจบไป แต่จะเป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนต้องคำนึงถึงและผนวกไว้ในกระบวนการทางธุรกิจ การดำเนินชีวิต รวมถึงการตัดสินใจเชิงนโยบายอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้อยู่รอดได้ในโลกยุคใหม่
โดยผู้บริโภคทั่วโลก นักลงทุน และผู้ใช้บริการทางการเงิน ต่างให้ความสำคัญกับเรื่องนี้และจะกดดันให้ธุรกิจต่าง ๆ ต้องเร่งปรับตัว นอกจากนี้ หน่วยงานภาครัฐในหลายประเทศ เริ่มยกระดับการบังคับใช้กฎหมายและหลักเกณฑ์ที่กำหนดให้ภาคธุรกิจต้องดำเนินงานในเรื่องความยั่งยืนอย่างจริงจัง เช่น การกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนที่ตลาดหลักทรัพย์ในหลายประเทศได้ทยอยบังคับใช้แล้ว รวมถึงนโยบายการค้าระหว่างประเทศ เช่น มาตรการ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) ของสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าการดำเนินธุรกิจในระยะต่อไป จำเป็นต้องมีแผนการดำเนินงานรวมถึงผลลัพธ์เรื่องความยั่งยืนที่เป็นรูปธรรม
ผู้ว่าฯ ธปท. กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายด้านความยั่งยืนในหลายมิติ ทั้งด้านธรรมาภิบาล สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะมิติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ส่งผลกระทบเร็วและรุนแรงกว่าที่คาด รวมถึงมิติด้านสังคมในส่วนของการเงินภาคประชาชน (การเข้าถึงบริการทางการเงิน และหนี้ครัวเรือน) ที่อาจซ้ำเติมปัญหาความเหลื่อมล้ำ จนฉุดรั้งการเติบโตของไทยได้
ธนาคารแห่งประเทศไทย ในฐานะผู้กำกับดูแล จึงตระหนักถึงบทบาทของภาคการเงิน ที่จะเป็นกลไกสำคัญในการจัดสรรเงินทุนแก่ภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนให้สามารถปรับตัวสู่ความยั่งยืนได้ดีขึ้น โดยเมื่อเดือนก.พ. ที่ผ่านมา ธปท. ได้เผยแพร่ “แนวนโยบายภูมิทัศน์ใหม่ภาคการเงินไทย เพื่อเศรษฐกิจดิจิทัลและการเติบโตอย่างยั่งยืน” เพื่อเป็นแนวทางในการปรับภาคการเงินให้ยืดหยุ่น (resilient) และยกระดับบริการทางการเงินให้ตอบโจทย์โลกอนาคตได้ดีขึ้น ซึ่งได้รวมการปรับตัวภายใต้ ESG ไว้ด้วย โดยสิ่งที่ ธปท. อยากเห็น คือ
1. สถาบันการเงินมีกระบวนการผนวกเรื่อง ESG เข้าเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจและดำเนินธุรกิจอย่างเป็นระบบ
2. สถาบันการเงินมีผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน ที่จะเอื้อให้ภาคธุรกิจปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างเท่าทัน รวมถึงมีความรับผิดชอบที่จะช่วยให้ภาคประชาชนบริหารการเงินได้อย่างเหมาะสมและจัดการหนี้สินได้อย่างยั่งยืน
3. สถาบันการเงินสามารถบริหารจัดการความเสี่ยง โดยเฉพาะความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมได้อย่างทันการณ์ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบการเงิน
ล่าสุด ธปท. จึงได้ออกเอกสารทิศทางการพัฒนาสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ภายใต้ภูมิทัศน์ใหม่ภาคการเงินไทย เพื่อให้เห็นแนวทางของ ธปท. ที่จะสนับสนุนให้ภาคการเงินพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อม และสามารถตอบโจทย์การปรับตัวของระบบเศรษฐกิจได้
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า สำหรับบทบาทของภาคการเงินด้านสิ่งแวดล้อมนั้น การดำเนินงานที่ผ่านมาเริ่มมีความคืบหน้า แต่การขับเคลื่อนให้เห็นผลที่ชัดเจนยังทำได้จำกัด เนื่องจากแต่ละภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจยังมีแนวทางการจัดกลุ่มหรือมาตรวัดความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในกิจกรรมต่าง ๆ ที่ไม่ตรงกัน การสนับสนุนหรือการจัดสรรเงินทุนจึงยังเกิดขึ้นได้ไม่เต็มที่และตรงจุด
ดังนั้น ในการช่วยผลักดันการปรับตัวของภาคการเงิน อย่างแรก ธปท. จึงจะเร่งให้มีการกำหนดนิยามหรือจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจหรือที่เรียกว่า taxonomy เพื่อสร้างความเข้าใจและมาตรฐานการประเมินกิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ตรงกัน สามารถนำไปใช้อ้างอิงในการกำหนดนโยบาย วางแผนเชิงกลยุทธ์ รวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการที่ตอบโจทย์ของภาคธุรกิจได้ในวงกว้าง โดยจะเริ่มจากการจัดทำ taxonomy ของภาคพลังงานและขนส่งก่อน ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จช่วงต้นปี 66
“การจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจนี้ จำเป็นต้องมีข้อมูลในระดับมหภาค เพื่อใช้ประเมินความเสี่ยงและโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของแต่ละอุตสาหกรรม อีกทั้งภาคการเงินก็ต้องการข้อมูลระดับ firm level เพื่อใช้ประเมินว่าธุรกิจดำเนินการสอดคล้องกับทิศทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากน้อยเพียงใด เพื่อจัดสรรเงินทุนให้เหมาะสม”
ผู้ว่าฯ ธปท. กล่าว
นอกจากนี้ ธปท. จะเร่งผลักดันในเรื่องการพัฒนาฐานข้อมูล และสนับสนุนให้ภาคธุรกิจเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมที่ได้มาตรฐาน ซึ่งต้องเชื่อมโยงกับภาคส่วนอื่น ๆ เพื่อให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานของการขับเคลื่อนเรื่องนี้ในระดับประเทศ
อย่างไรก็ดี การขับเคลื่อนให้ระบบเศรษฐกิจสามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม และด้านสังคม จะอยู่ภายใต้หลักการเดียวกัน คือ ต้องคำนึงถึงจังหวะเวลา (timing) และความเร็ว (speed) ที่เหมาะสม รวมทั้งต้องสอดคล้องกับบริบทของประเทศ โดยจำเป็นต้องสร้างสมดุลระหว่างการเดินหน้าสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืน และผลข้างเคียงเชิงลบที่จะเกิดขึ้นกับภาคส่วนต่าง ๆ โดยเฉพาะลูกหนี้รายย่อยและธุรกิจ SMEs ดังนั้น การดำเนินการจึงต้องไม่ช้าเกินไป จนเกิดผลกระทบลุกลามจนไม่สามารถแก้ไขได้ และไม่เร็วเกินไป จนระบบเศรษฐกิจไม่สามารถปรับตัวได้ทัน
“การที่สมาคมธนาคารไทย และธนาคารสมาชิกทุกแห่ง จะร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ที่จะผนวกรวมทุกมิติด้านความยั่งยืน เข้าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและการดำเนินธุรกิจของภาคการเงินไทย ซึ่งถือเป็นคำมั่นสัญญาที่ธนาคารพาณิชย์ไทยจะให้กับสาธารณชน ว่าจะเร่งปรับกระบวนการดำเนินธุรกิจไปสู่การพัฒนาบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ ESG ของประเทศ และยืนยันความตั้งใจด้วยการกำหนดแผนดำเนินงาน กรอบเวลา และแนวทางการประเมินผลสัมฤทธิ์ที่ชัดเจน ซึ่งการประกาศร่วมกันในครั้งนี้จะทำให้การเดินหน้าในเรื่อง ESG ของธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งมีความสอดคล้องและมาตรฐานใกล้เคียงกันยิ่งขึ้น และจะช่วยเร่งการปรับตัวของภาคการเงินในภาพรวมได้ ซึ่งสอดรับกับแนวนโยบายของ ธปท. ภายใต้ภูมิทัศน์ใหม่ภาคการเงินไทย”
นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
พร้อมระบุว่า ในระยะต่อไป เราจะได้เห็นธนาคารพาณิชย์ที่มีโครงสร้างการบริหารจัดการภายใน ที่จะทำให้การดำเนินธุรกิจต้องคำนึงถึงความยั่งยืนอย่างเป็นระบบ ซึ่งท้ายที่สุด จะทำให้เกิดผลิตภัณฑ์หรือบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ และสร้างแรงจูงใจให้ธุรกิจปรับตัว รวมทั้งคำนึงถึงความยั่งยืนของลูกค้าหรือลูกหนี้อย่างเป็นรูปธรรม
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 ส.ค. 65)
Tags: ESG, ธนาคารพาณิชย์, ธปท., เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ