บมจ. ราช กรุ๊ป (RATCH) แจ้งว่า บริษัท อาร์เอช อินเตอร์เนชั่นแรล (สิงคโปร์) คอร์ปอเรชั่น จำกัด (RHIS) บริษัทย่อยทางอ้อมที่บริษัทถือหุ้นทั้งจำนวน ได้ลงนามสัญญาซื้อขายหุ้นกับบริษัทในเครือของ Denham Capital Management LP (Denham) และ Nexif Energy Management Pte.Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Nexif Pte.Ltd.(Nexif) เพื่อเข้าซื้อหุ้น Nexif Enery Holdings B.V. และ NXF Holdings 2 Limited (Nexif Energy Joint Venture หรือ NEJV) ซึ่งเป็นผู้ถือสินทรัพย์ประเภทโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน โรงไฟฟ้ากังหันก๊าซ รวมถึงโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมและระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ ในประเทศไทย เครือรัฐออสเตรเลีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ในสัดส่วน 100% คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 605 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า 21,470.42 ล้านบาท
สำหรับการลงทุนดังกล่าว สอดคล้องกับแผนการลงทุนของบริษัท ที่จะสามารถรับรู้รายได้ทันทีภายหลังการซื้อหุ้นแล้วเสร็จ นอกจากนี้ยังมีโครงการที่มีศักยภาพอยู่ในระหว่างการดำเนินการพัฒนา ซึ่งบริษัทได้เจรจาทำข้อตกลงร่วมกับ Nexif ในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน (Joint Venture) เพื่อร่วมพัฒนาโครงการเหล่านี้ รวมถึงแสวงหาโครงการใหม่เพื่อขยายกิจการของบริษัทร่วมทุนที่จะช่วยสร้างความมั่นคงทางรายได้ รวมถึงผลตอบแทนระยะยาวในการลงทุนและการเติบโตของบริษัท จากการพัฒนาโครงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
การลงทุนครั้งนี้บริษัทฯ จะรับรู้กำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นประมาณ 1,500 เมกะวัตต์ ซึ่งประมาณ 900 เมกะวัตต์ เป็นโครงการที่สร้างรายได้แล้วและมีเป้าหมายการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในอีก 3 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ Denham เป็นบริษัทด้านพลังงาน ทรัพยากร และระบบสาธารณูปโภคแบบยั่งยืน ได้เข้ามาเป็นผู้ลงทุนหลักตั้งแต่ปี 58 ส่วน Nexif เป็นบริษัทชั้นนำผู้พัฒนาโครงการและลงทุนในธุรกิจด้านพลังงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
น.ส.ชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ RATCH เปิดเผยว่า การลงทุนครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายการเติบโตของธุรกิจหลักคือธุรกิจไฟฟ้าอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากการเข้าลงทุนครั้งนี้จะเร่งทำให้บริษัทฯ บรรลุเป้าหมายกำลังผลิต 10,000 เมกะวัตต์ได้เร็วขึ้น ขณะเดียวกันช่วยเร่งผลักดันกำลังการผลิตพลังงานทดแทนให้ถึงเป้าหมาย 25% ในปี 68 เพราะพอร์ตการลงทุนดังกล่าวเกือบทั้งหมดเป็นโครงการด้านพลังงานทดแทน ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าพลังงานลมทั้งบนบกและในทะเลจำนวน 12 แห่ง โครงการพลังงานน้ำ 3 แห่ง โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ 3 แห่ง นอกจากนั้นยังมีโครงการพัฒนาระบบกักเก็บพลังงานแบบแบตเตอรี่ 4 โครงการ และโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติอีก 2 แห่ง
ที่สำคัญยังเปิดโอกาสให้บริษัทฯ เข้าสู่ธุรกิจระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มธุรกิจพลังงานทดแทน และขยายฐานธุรกิจต่างประเทศทั้งในออสเตรเลีย เวียดนาม รวมทั้งเปิดฐานลงทุนใหม่ในประเทศฟิลิปปินส์ ด้วย
ส่วนเงินลงทุนในธุรกรรมดังกล่าวบริษัทฯ จะใช้จากเงินทุนของบริษัทฯ และเงินกู้จากสถาบันการเงิน โดยบริษัทฯ ได้จัดเตรียมไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ภายหลังธุรกรรมนี้เสร็จสมบูรณ์ บริษัทฯ จะรับรู้กำลังการผลิตเชิงพาณิชย์ที่สร้างรายได้ทันที 450 เมกะวัตต์จากโครงการพลังงานลมและโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในออสเตรเลีย โครงการพลังงานน้ำในเวียดนาม และโรงไฟฟ้าเน็กส์ซิฟ ราช เอ็นเนอร์จี ระยอง ซึ่งทั้ง 4 โครงการ บริษัทฯ จะถือหุ้นทั้งหมด สำหรับโครงการที่เหลือกำหนดจะทยอยเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 66-70”
น.ส.ชูศรี กล่าวว่า ความสำเร็จของธุรกรรมดังกล่าว บริษัทฯ จะรับรู้กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมประมาณ 1,500 เมกะวัตต์ ส่งผลให้กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์สร้างรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 7,842 เมกะวัตต์ สำหรับสัดส่วนกำลังการผลิตพลังงานทดแทนจะเพิ่มขึ้นเป็น 20% (2,128 เมกะวัตต์) ของกำลังการผลิตรวม
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ส.ค. 65)
Tags: RATCH, ราช กรุ๊ป, หุ้นไทย