บล.พาย มอง SET ต้นสัปดาห์ดีดขึ้นแต่ Upside จำกัด เน้นกลุ่มรายงานกำไรดีกว่าคาด

บทวิเคราะห์จาก บล.พาย (Pi) ประเมินกรอบดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) สัปดาห์นี้ 1,600-1,640 จุด โดยมีความเป็นไปได้ที่ต้นสัปดาห์จะปรับตัวขึ้นรับแรงหนุนเชิงบวกจากตลาดหุ้นสหรัฐในช่วงปลายสัปดาห์ก่อน แต่มองว่า Upside ของตลาดฯจะเริ่มจำกัด

ทั้งนี้ ตลาดหุ้น Dow Jones คืนวันศุกร์ปิดบวก 1.27% ได้แรงหนุนจากคาดการณ์เงินเฟ้อของผู้บริโภคเริ่มปรับลดลงรวมถึงความเชื่อมั่นผู้บริโภคในสหรัฐฯปรับขึ้นดีกว่าตลาดคาดการณ์ โดยผู้บริโภคในสหรัฐคาดการณ์เงินเฟ้อ 1 ปีข้างหน้าจะอยู่ที่ 5% ดีกว่านักวิเคราะห์คาดที่ 5.1% และลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 5.2% ส่วนความเชื่อมั่นผู้บริโภคออกมาที่ 55.1 สูงกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 52.5 ส่วนราคาน้ำมันดิบ BRT ปรับลดลง 1.5% ถูกกดดันจากการผลิตน้ำมันของอิหร่านอาจไหลเข้าสู่ตลาดน้ำมันโลกหลังจากที่อิหร่านส่งสัญญาณถึงการใกล้บรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์กับชาติมหาอำนาจ

สัปดาห์นี้เป็นปัจจัยหลักที่ยังต้องติดตามต่อคาดวันสุดท้ายของการประกาศผลประกอบการคือเช้าอังคาร ส่วนตัวเลขทางเศรษฐกิจสัปดาห์นี้ ได้แก่ (1) การรายงานอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในไตรมาส 2/65 เช้าวันจันทร์ Bloomberg คาดการณ์เศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 3.1%YoY, 0.9%QoQ หากออกมาดีกว่าคาดการณ์อาจเป็นแรงหนุนให้กับบรรยากาศการลงทุนได้บ้าง

(2) ใบอนุญาตก่อสร้างและจำนวนที่อยู่อาศัยเริ่มสร้างของสหรัฐฯในวันอังคาร Bloomberg คาดการณ์ที่ 1.65 ล้านและ 1.35 ล้าน เป็นที่น่าสังเกตว่าเป็นการลดลงต่อเนื่องจากเดือนก่อนเป็นตัวสะท้อนถึงเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังไม่ได้แข็งแกร่งนัก (3) ยอดค้าปลีกสหรัฐฯในวันพุธ Bloomberg คาดการณ์จะขยายตัว 0.2%MoM ลดลงจากเดือนหน้าที่ขยายตัว 1%MoM ขณะที่ในวันเดียวกันจะมีการรายงานยอดขายบ้านมือสองของสหรัฐฯ Bloomberg คาดที่ 4.85 ล้านหลังคาเรือนลดลงจากเดือนก่อน 5.12 ล้านหลังคาเรือน เชิงกลยุทธ์ยังเน้นทลดพอร์ตมองตลาดหุ้นฟื้นรับปัจจัยบวกด้านเงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุดไปพอสมควร

สำหรับกลุ่มนำตลาดในช่วงต้นสัปดาห์นี้ ได้แก่ กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันปรับลดลง (SCC SCGP TOA) ค้าปลีก (BJC CRC CPALL) ธนาคาร (BBL KBANK SCB TTB) แต่แนะระมัดระวังกลุ่มน้ำมันผลจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับฐานเป็นปัจจัยกดดัน

ส่วนผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน Q2/65 ประกาศออกมาแล้วราว 350 บริษัท (80% Market Cap ของ SET INDEX) มีกำไรสุทธิรวมกัน 2.97 แสนล้านบาท (+28%YoY +43%QoQ) หลักๆได้ แรงหนุนจากกลุ่มน้ำมัน (BCP PTT PTTEP SPRC TOP) ปิโตรเคมี (IVL) กลุ่มปั๊มน้ำมัน (OR PTG) อิเล็กทรอนิกส์ (DELTA)

หุ้นแนะนำเน้นที่กำไร Q2/65 ดีกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ (M PTG) รวมถึงกลุ่มได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันปรับตัวลง (SCGP SCC TASCO) รวมไปถึงค้าปลีก (BJC CPALL CRC HMPRO) ธนาคาร (BBL KBANK SCB TTB) ท่องเที่ยว (AOT CENTEL MINT)

PTG (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 17.50 บาท) กำไรสุทธิ 2Q22 อยู่ที่ 606 ล้านบาท (+270%QoQ +21%YoY) สูงกว่าประมาณการจาก Bloomberg ราว 63.7% หลักๆหนุนจากค่าการตลาดที่โดดเด่นโดยเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 2.39 บาท / ลิตร สูงกว่าที่เราคาดไว้ที่ 1.7-1.8 บาท/ลิตร ขณะที่ราคาหุ้นยังค่อนข้าง Laggard มองเป็นหุ้นที่น่าสนใจ

MINT (ซื้อ/ราคาเป้าหมาย 41.00 บาท) บริษัทมีกำไรสุทธิครั้งแรกตั้งแต่เกิดวิกฤติโควิด-19 ที่ 1.6 พันล้านบาทใน Q2/65 จากขาดทุน 3.8 พันล้านบาทใน Q1/65 สูงกว่าคาด โดยได้แรงหนุนมาจากช่วง high season สำหรับธุรกิจโรงแรมในยุโรปนำโดยกลุ่ม NH Hotel โดยมอง Q3/65 ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 ส.ค. 65)

Tags: , , ,
Back to Top