นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย (KTAM) เปิดเผยว่า ภายใต้สถานการณ์ตลาดการลงทุนทั่วโลกที่ยังคงมีความผันผวนจากหลาย ๆ ปัจจัย เช่น ภาวะสงคราม หรือภาวะเงินเฟ้อ การเลือกลงทุนในตลาดหรือสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนไป เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน โดยทาง KTAM มองว่า ตลาดการลงทุนที่สามารถตอบโจทย์ในสถานการณ์ปัจจุบัน ได้แก่ กลุ่มเฮลท์แคร์ โดยปัจจัยหลักมาจากการตอบรับกับกระแสการก้าวสู่สังคมสูงวัยของโลก ทั้งเรื่องของการดูแลสุขภาพและการรักษาพยาบาล ทำให้อุตสาหกรรมด้านนี้ยังมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
นอกจากนี้ ตลาดเอเชียอย่างจีนหรือเวียดนาม ก็มีความน่าสนใจอย่างโดดเด่น จากการที่จีนได้เปรียบในเรื่องของเงินเฟ้อต่ำ โดยจีนเข้าสู่วัฏจักรการฟื้นตัวตรงข้ามกับ late cycle ในโลกตะวันตก รวมถึงกลุ่มประเทศในเอเชียก็ได้รับผลเชิงบวกจากการที่จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ ประกอบกับตลาดหุ้นหลายแห่งในภูมิภาคยังคงมีราคาที่ไม่สูงเมื่อเทียบกับตลาดอื่น ในส่วนของเวียดนามซึ่งเป็นประเทศชั้นนำที่มีเศรษฐกิจเติบโตอันดับต้น ๆ ของโลก มีเงินเฟ้อต่ำ ขณะที่ดัชนีหลักทรัพย์ปรับตัวลงลึกมากจากข่าวปราบทุจริต
ทั้งนี้ เราได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการออมในระยะยาว จึงได้แนะนำกองทุนเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่จะเป็นตัวสนับสนุนเพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาว ประกอบด้วย
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ เฮลธ์แคร์ ฟันด์ เพื่อการเลี้ยงชีพ (KT-HEALTHC RMF) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Janus Global Life Sciences Fund (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม โดยกองทุนหลักเน้นลงทุนในตราสารทุนของบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกที่มีความเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิต (Life Sciences) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรักษาหรือการพัฒนาคุณภาพชีวิต
กองทุนเปิดเคแทม ไชน่า เอแชร์ อิควิตี้ เพื่อการเลี้ยงชีพ (KT-Ashares RMF) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Allianz Global Investors Fund – Allianz China A-Shares (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ซึ่งกองทุนหลักมีวัตถุประสงค์ในการลงทุนโดยเน้นการเติบโตของมูลค่าเงินทุนระยะยาวจากการลงทุนในตลาดหุ้น A-Shares ของจีนไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ของมูลค่าทรัพย์สินกองทุน
กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดเคแทม เอเชีย โกรท อิควิตี้ ฟันด์ (ชนิดเพื่อการออม) (KT-ASIAG-SSF) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน JPMorgan Funds – Asia Growth Fund (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม โดยกองทุนหลักจะลงทุนอย่างน้อย 67% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ในตราสารทุนของบริษัทที่มีภูมิลำเนา หรือดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลักในภูมิภาคเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) รวมถึงตลาดเกิดใหม่ ซึ่งเป็นบริษัทที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี
กองทุนเปิดเคแทม เวียดนาม อิควิตี้ (ชนิดเพื่อการออม) (KT-VIETNAM-SSF) มีกลยุทธ์การลงทุนแบบเชิงรุก เพื่อสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าตลาด เน้นลงทุนในหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศเวียดนาม ผ่านการลงทุนในตราสารทุน หน่วย CIS กองทุน ETF ซึ่งจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ประเทศเวียดนามและต่างประเทศ เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
นางชวินดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมานักลงทุนบางกลุ่มมักจะเลือกลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีแบบครั้งเดียวหรือแบบก้อนใหญ่ ๆ ในช่วงปลายปี ซึ่งอาจทำให้เราซื้อของได้ในราคาแพง เพราะการลงทุนลักษณะนี้จะทำให้เสียโอกาสในซื้อสินทรัพย์ที่ดีในช่วงเวลาที่เหมาะสม จึงแนะนำให้นักลงทุนพิจารณาการลงทุนโดยถัวเฉลี่ยต้นทุนในรูปแบบ DCA (Dollar Cost Averaging) เพื่อเป็นการกระจายการลงทุน และยังเป็นการช่วยลดความผันผวนของพอร์ตได้อีกด้วย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 ก.ค. 65)
Tags: Healthcare, KTAM, กองทุนรวม, ชวินดา หาญรัตนกูล, บลจ.กรุงไทย, เฮลท์แคร์