โบรกฯมอง EU ส่อขาดก๊าซเป็นบวกกลุ่มพลังงาน-ปิโตรฯ แต่เป็นลบกลุ่มโรงไฟฟ้า-อิเล็กฯ

บล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ว่า หุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำจะ outperform ขณะที่หุ้นกลุ่ม Electronics และโรงไฟฟ้าจะ underperform จากความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะขาดแคลนก๊าซฯในสหภาพยุโรป (EU) ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเมื่อยุโรปเข้าสู่ฤดูหนาว

ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่ EU จะต้องมีการใช้นโยบายปันส่วน (rationing) ซึ่งจะส่งให้อุปสงค์การใช้ไฟฟ้าลดลง โดยเฉพาะการใช้ในกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งจะกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตในยุโรป เพื่อที่จะทำให้มั่นใจว่าไฟฟ้าเพียงพอสำหรับกลุ่มที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น ที่อยู่อาศัยและโรงพยาบาล

ดังนั้น Sector ที่ได้รับผลบวกจากความเป็นไปได้ที่ EU จะขาดแคลนก๊าซฯ เรียงตามลำดับ ได้แก่

  • กลุ่มพลังงาน พลังงานต้นน้ำได้ประโยชน์จากราคาพลังงานที่น่าจะสูงขึ้นในช่วงฤดูหนาวตอนปลายปีเมื่อความต้องการใช้พลังงานสูงขึ้น ในขณะที่อุปทานและปริมาณสำรองยังคงตึงตัว โดยคาดว่าความไม่สมดุลจะนำไปสู่ราคาก๊าซฯ LNG ที่สูง ซึ่งจะทำให้ราคาถ่านหินและน้ำมันดิบ/ผลิตภัณฑ์น้ำมันซึ่งเป็นเชื้อเพลิงทางเลือกสูงขึ้นตาม

PTTEP (ซื้อ/เป้า 190.00 บาท) จะได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่ยืนสูง จากอุปสงค์ gas-to-oil ที่น่าจะเกิดขึ้นหากราคาก๊าซฯปรับตัวสูงขึ้น โดยอัตราส่วนรายได้ gas:liquid ใน 1Q22 อยู่ที่ 52:48

BANPU (ซื้อ/เป้า 16.00 บาท) จะได้ประโยชน์จากราคาถ่านหิน (67% ของ 1Q22 consolidated EBITDA) ที่จะสูงขึ้นจากความต้องการทดแทนก๊าซฯ และราคาก๊าซฯ US (28% ของ consolidated EBITDA) ที่ยืนสูงตามแนวโน้มราคาก๊าซฯ LNG ที่น่าจะเห็นอุปสงค์ดีขึ้นจากความต้องการในยุโรป

SPRC (ซื้อ/เป้า 15.50 บาท) จะได้ประโยชน์จากราคาผลิตภัณฑ์น้ำมัน โดยเฉพาะดีเซล (44% ของปริมาณการผลิตใน Q1/65) ที่สูงขึ้นเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนก๊าซฯ

  • กลุ่มปิโตรเคมี อาจจะได้ผลบวกต่อส่วนต่างราคาปิโตรเคมี (product price spread) จากการที่กลุ่มอุตสาหกรรมในยุโรปลดการผลิต จากการทำ gas rationing

ส่วน Sector ที่ได้รับผลลบจากความเป็นไปได้ที่ EU จะขาดแคลนก๊าซฯ เรียงตามลำดับ ได้แก่

  • กลุ่มไฟฟ้า ต้นทุนหลักของโรงไฟฟ้า SPP กว่า 70% มาจากก๊าซธรรมชาติซึ่งเชื่อมโยงกับราคาน้ำมันและราคา LNG spot (บางส่วน) เรียงลำดับจากหุ้นที่ได้รับผลกระทบมากไปน้อย GPSC (ซื้อ/เป้า 72.00 บาท), BGRIM (ซื้อ/เป้า 45.00 บาท), GULF (ถือ/เป้า 47.00 บาท)
  • กลุ่ม Electronics จะได้รับผลกระทบจาก supply chain ที่ถูกกดดัน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ เราจึงมองว่า KCE จะได้รับผลกระทบมากสุดเนื่องจากรายได้หลักมาจากอุตสาหกรรมรถยนต์ และประเทศยุโรปเป็นหลัก
  • กลุ่มสายการบิน มีโอกาสได้รับผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวเดินทางลดลง โดย BA มีสัดส่วนรายได้จากเที่ยวบินยุโรป 15%-20% ส่วน AAV กระทบจำกัด เนื่องจากไม่มีเที่ยวบินยุโรป นักท่องเที่ยวยุโรปต่อเครื่องบินสายการบินไทยแอร์เอเชียน้อย
  • กลุ่มท่องเที่ยว – MINT (ซื้อ/เป้า 44.00 บาท) มีสัดส่วนรายได้จากโรงแรมในยุโรปราว 60% แต่เชื่อว่าผลกระทบจำกัดเพราะจะถูกชดเชยไปกับ ADR ที่จะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นในช่วง High season ที่ยุโรป
  • หุ้นกลุ่มอื่นๆ – SCGP (ถือ/เป้า 56.00 บาท) ได้รับผลกระทบจากต้นทุนถ่านหินที่สูงขึ้น ซึ่งมีสัดส่วนราว 6% ของต้นทุนรวม
  • TOG (ซื้อ/เป้า 10.00 บาท) มีสัดส่วนรายได้จากยุโรป 25% แต่ประเมินผลกระทบจำกัด จากรายได้ภูมิภาคอื่นที่ยังฟื้นดีต่อเนื่อง รวมถึงได้อานิสงส์จาก high season ของลูกค้ากลุ่มประกัน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 ก.ค. 65)

Tags: , ,
Back to Top