อนุสรณ์แนะธปท.ไม่จำเป็นเร่งขึ้นดอกเบี้ยหวังประคองศก. จับตาวิกฤติเมียนมากระทบไทย

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สภาวิจัยแห่งชาติ สาขาเศรษฐศาสตร์ และอดีตกรรมการตรวจสอบ ธนาคารแห่งประเทศไทย แสดงความเห็นต่อการจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯในวันที่ 27 กค ศกนี้ ว่าไม่ต้องวิตกกังวลเกินเหตุ ไม่ว่าจะปรับขึ้น 0.75% หรือ 1% จะไม่ส่งผลกระทบทางลบต่อตลาดหุ้นหรือค่าเงินบาทไปมากกว่าที่เป็นอยู่ค่าเงินบาทอ่อนค่าใกล้แตะระดับต่ำสุดแล้ว เพราะระยะต่อไปดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดไทยจะปรับตัวในทิศทางที่ขาดดุลลดลงและจะเกินดุลได้ในช่วงปลายปี

ส่วนตลาดหุ้นน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและเริ่มเห็นสัญญาณการกลับเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ส่วนอัตราเงินเฟ้อน่าจะสูงสุดในไตรมาสามหลังจากนี้จะดีขึ้นเพราะแรงกดดันราคาพลังงานสูงลดลง อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯจะอยู่ที่ 2.50%ในสัปดาห์หน้าโดยที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยอยู่ที่ 0.50% และ ดอกเบี้ยสหรัฐฯปลายปีน่าจะอยู่ที่ 3.25-3.50%

ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่จำเป็นต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อประคับประคองการกระเตื้องขึ้นของเศรษฐกิจ และบรรเทาผลกระทบต่อครัวเรือนที่มีหนี้สินมาก แต่ควรปรับขึ้นเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยมากเกินไปจนกระตุ้นในเงินไหลออกมากเกินไป การมีส่วนต่างในระดับ 2-2.50% เป็นสิ่งที่ยอมรับได้เพราะวัฎจักรเศรษฐกิจของไทยและสหรัฐฯต่างกัน สหรัฐอเมริกามีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าไทยมาก

ส่วนปัจจัยวิกฤติเศรษฐกิจเมียนมาร์และค่าเงินจ๊าตอ่อนค่ารุนแรงนั้นคงกระทบไทยระดับหนึ่ง สิ่งที่น่าเป็นห่วงและต้องติดตาม คือ การที่ธนาคารกลางเมียนมาร์ประกาศให้บริษัทและธนาคารในเมียนมาร์ระงับการชำระหนี้เงินตราต่างประเทศ มาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อบริษัทในเมียนมาร์ที่ต้องอาศัยการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศยังกระทบต่อเจ้าหนี้สถาบันการเงินในไทย กระทบต่อนักลงทุนและบริษัทไทยที่เข้าไปลงทุนในเมียนมาร์ด้วย

แม้นกลุ่มทุนข้ามชาติไทยจะชะลอการเข้าไปลงทุนในเมียนมาร์หลังการรัฐประหาร แต่ก็ยังคงเข้าไปลงทุนในเมียนมาร์ค่อนข้างสูงโดยตัวเลขล่าสุด มีการลงทุนโดยตรง (Foreign Direct Investment – FDI) เกือบ 180,000 ล้านบาท การลงทุนของกลุ่มทุนข้ามชาติไทยในพม่าส่วนใหญ่ลงทุนในกิจการพลังงาน สินค้าอุปโภคบริโภค บริษัทในเครือ ปตท เข้าไปลงทุนในเมียนมาร์ค่อนข้างมาก กลุ่มโอสถสภา กลุ่มธุรกิจไฟฟ้า กลุ่มรับเหมาก่อสร้างอย่างอิตาเลียนไทย มีการใช้เงินลงทุนในเขตทวายกว่า 7,000 ล้านบาท เนาวรัตน์พัฒนาการเข้าไปก่อสร้างโรงแรมในพม่า ปูนซิเมนต์ไทยเคยมีโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ 1.8 ล้านตันในพม่า และได้ยุติการทำธุรกิจไปแล้ว

การประกาศระงับการจ่ายหนี้ย่อมกระทบต่อนักลงทุนต่างชาติอย่างมาก และน่าจะทำให้ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจเมียนมาร์ลดลงอย่างมากได้อีกพร้อมกับการดิ่งลงของค่าเงินจ๊าต ไทยเป็นคู่ค้าใหญ่เป็นอันดับสองของพม่า มีมูลค่าอยู่ที่ระดับ 4.8-5 พันล้านดอลลาร์ การประกาศระงับการชำระหนี้จะกระทบต่อการค้าไทยในระดับหนึ่ง ทำให้ค่าเงินจ๊าตในตลาดมืดอาจดิ่งทะลุระดับ 2,800 จ๊าตต่อดอลลาร์ได้ในระยะต่อไป มีทุนสำรองเพียงแค่ 7.7 พันล้านดอลลาร์ มีหนี้ต่างประเทศประมาณ 11,000 ล้านดอลลาร์ และยังไม่เห็นแนวโน้มการลงทุนจากต่างประเทศและรายได้จากการท่องเที่ยวต่างชาติจะดีขึ้นในอนาคตอันใกล้มีแนวโน้มสูงที่สถานการณ์วิกฤตการณ์เศรษฐกิจ วิกฤติค่าเงิน และสงครามกลางเมืองในพม่าจะนำไปสู่ความล่มสลายที่รุนแรงกว่าสถานการณ์ในศรีลังกาในระยะต่อไป และเป็นการยากที่รัฐบาลเผด็จการทหารพม่าจะได้รับช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือจากประเทศต่างๆ เนื่องจาก รัฐบาลได้กระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงและสังหารประชาชนจำนวนมาก ฉะนั้น รัฐไทยต้องเตรียมรับคลื่นอพยพระลอกใหม่จากเมียนมาร์ด้วยการดำเนินการต้องยึดหลักมนุษยธรรมและไม่สร้างความเดือดร้อนต่อชาวไทยที่อยู่ตามแนวชายแดน

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 ก.ค. 65)

Tags: , , ,
Back to Top