นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีมีข่าวรัฐมนตรีหลายคนมาขอคำปรึกษาก่อนจะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันที่ 19-22 ก.ค.65 ว่า เป็นการพูดคุยกัน ไม่ใช่การมาปรึกษาหารือเพื่อเตรียมพร้อมอภิปรายไม่ไว้วางใจแต่อย่างใด ไม่มีใครมาขอคำปรึกษาด้านกฎหมายกับตน เพียงแต่ตนได้เล่าถึงสมัยอดีตในยุคที่นายกรัฐมนตรีหลายคน เช่น นายกฯ ชวน นายกฯ บรรหาร นายกฯ ชวลิต นายกฯ ทักษิณ ว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นบ้าง และเป็นอย่างไรในการอภิปรายในสมัยนั้นๆ เป็นการเล่าให้ฟังสนุกๆ เพราะรัฐมนตรีหลายคนไม่ได้อยู่ในรัฐบาลยุคนั้น
“การอภิปรายครั้งนี้ก็เป็นธรรมดา ไม่ได้หนักเบาไปกว่ากัน เพียงแต่คราวนี้ผู้ถูกอภิปราย 11 คน ถือว่าจำนวนมาก แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหา เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีทั้งคณะก็เคยมีมาแล้ว ไม่ได้เจตนาที่จะหวังผลปลุกใจก่อนวันอภิปรายในวันที่ 19 ก.ค.65 อย่างที่ถูกวิจารณ์ แต่อดไม่ได้ก็อยากจะเล่าให้รัฐมนตรีฟังถึงเรื่องในอดีต ไม่ใช่ว่ามีใครหวั่นไหวอะไร แค่อยากเล่าเท่านั้น” นายวิษณุกล่าว
นายวิษณุ กล่าวว่า สิ่งที่เป็นห่วงคือ เวลาในอภิปรายของฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลที่อาจบริหารยาก เนื่องจากอภิปราย 11 คน แต่มีเวลาเพียง 4 วัน
สำหรับการวางคิวอภิปรายที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นคนสุดท้าย ไม่รู้ว่าจะถือเป็นเทคนิคหรือนัยของฝ่ายค้านหรือไม่ และไม่ทราบว่าวิปทั้งสองฝ่ายตกลงกันอย่างไร แต่ถ้าจะลำดับเช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด ทั้งนี้ หากมีรัฐมนตรีที่ไม่ถูกยื่นอภิปราย แต่ถูกพาดพิง ก็สามารถลุกขึ้นชี้แจงได้
อย่างไรก็ตาม ผู้อภิปราย 1 คน สามารถอภิปรายรัฐมนตรีหลายคนได้ ซึ่งฝ่ายค้านแบ่งเอาไว้เป็นสูตร 2 : 3 : 3 : 3 คือเริ่มที่พรรคภูมิใจไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข กับนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ต่อมาคือพรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์, นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย จากนั้นพรรคพลังประชารัฐ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง, นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน และวันสุดท้ายคือ 3 ป. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งก็เป็นระเบียบดี
ในส่วนของรัฐบาลไม่ได้มีการจัดระเบียบอะไร แต่เตรียมไว้ให้รัฐมนตรีแต่ละคนตอบประมาณ 1 ชั่วโมง ส่วนนายกรัฐมนตรีตอบ 5 ชั่วโมง แต่ถ้ารัฐมนตรีจะตอบมากกว่า 1 ชั่วโมงก็ให้ไปตอบหลังเที่ยงคืน หรือไปตอบนอกสภา สิ่งที่น่าห่วงคือการบริหารเวลา
นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่มีรัฐมนตรีคนใดที่เป็นห่วงเรื่องเสียงปริ่มน้ำ ซึ่งต้องใช้คะแนนเสียงไม่ไว้วางใจเกินกึ่งหนึ่ง คือคะแนน 238 ครึ่ง ดังนั้นถ้ารัฐมนตรีได้ 239 ตามที่โหวตไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีคนนั้นสอบตก ส่วนคะแนนเสียงไว้วางใจจะมีเท่าไรนั้น ในทางกฎหมายไม่เป็นสาระสำคัญ เช่น อาจจะงดออกเสียงเป็นร้อยเลยก็ได้ แต่ในความรู้สึกของสื่อ และประชาชนจะไปจับตาดูว่าคะแนนไว้วางใจมีเท่าไร แล้วเอามาเปรียบเทียบ แต่ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 ไม่ได้ให้เทียบเช่นนั้น แต่รัฐมนตรีจะพ้นจากตำแหน่งเมื่อถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ และได้รับคะแนนไม่ไว้วางใจเกินกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกสภาที่มีอยู่
“วันนี้สภามี 477 เสียง ดังนั้นก็ต้องคอยดูว่าคะแนนที่จะได้แต่ละคนเป็นอย่างไร ซึ่งใครจะได้เท่าไร ถือเป็นเทคนิคฝ่ายการเมือง ผมไม่ทราบว่าใครมีคะแนนอยู่เท่าไร ตอนนี้เราก็รู้อยู่ว่าฝ่ายค้าน 206-207 เสียง และบางคนยังบอกว่ามีฝากเลี้ยง มีงูเห่า แต่สำหรับผมไม่มีความรู้ในเรื่องเหล่านี้ ซึ่งตัวเลข 239 ถือเป็นตัวเลขหลักที่อยากให้ทำความเข้าใจกับประชาชนที่จะต้องดูที่ 239 เสียง” นายวิษณุ กล่าว
ส่วนคะแนนโหวตของรัฐมนตรีแต่ละคนไม่จำเป็นต้องเท่ากัน ไม่มีอะไรผิดบาป เพียงแต่ทำให้รู้สึกเสียเครดิต เสียรังวัดว่าคนนั้นได้รับความไว้วางใจมากกว่าคนนี้ เป็นเรื่องธรรมดา ไม่เห็นต้องต้องถือสา อภิปรายกันมา 3 ครั้งแล้วในรัฐบาลนี้ และคะแนนเสียงไว้วางใจก็ไม่ได้เท่ากัน
ส่วนกรณีมีข้อเรียกร้องว่าหากใครได้รับคำแนนไม่ไว้วางใจสูงจะต้องรับผิดชอบอะไรหรือไม่นั้น นายวิษณุกล่าวว่า โดยมารยาทไม่มีปัญหา แต่หากคนนั้นคือนายกรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบอย่างไรนั้น นายวิษณุ กล่าวว่า ก็ไม่มีปัญหาอะไร ไม่มีในทางกฎหมาย แต่มารยาทในทางการเมืองก็ไม่เคยมีมารยาทอะไรในเรื่องนี้ ก็ผ่านไป 7 วันก็ลืมกันแล้ว ถ้าใครได้ไม่ถึง 239 ก็อยู่ไป
นายวิษณุ ปฏิเสธไม่ทราบว่านายกรัฐมนตรีเครียดกับการเตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่ ต้องให้สื่อก็ไปถามนายกรัฐมนตรีเอาเอง และวันที่ 23 ก.ค.65 ช่วงเช้าก็รู้ว่าใครได้คะแนนอย่างไร
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 ก.ค. 65)
Tags: ประยุทธ์ จันทร์โอชา, รัฐมนตรี, วิษณุ เครืองาม, อภิปรายไม่ไว้วางใจ