นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 8 ก.ค. ที่ผ่านมา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ได้ร่วมประชุมกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจรอบอ่าวเป่ยปู้ ครั้งที่ 12 ซึ่งถือเป็นการเข้าร่วมแสดงวิสัยทัศน์ของไทย เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน โดยได้เน้นย้ำถึงการใช้ประโยชน์จากความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจการค้าระหว่างไทยกับจีน
นางอรมน กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ หัวข้อหลักคือ “แบ่งปันโอกาสใหม่จาก RCEP ร่วมกันสร้างเส้นทางการขนส่งเชื่อมโยงทางบกกับทางทะเลสายใหม่ และชัยชนะร่วมกันกับอนาคตใหม่ อ่าวเป่ยปู้” ซึ่งเป็นหัวข้อที่สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน เนื่องจากเป็นปีที่ความตกลง RCEP มีผลบังคับใช้ ซึ่งมีไทยเป็นประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือรอบอ่าวเป่ยปู้ และมีจีนเป็นภาคี
ทั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมของไทย ในฐานะที่เป็นประธานการประชุม RCEP ในช่วงที่ไทยเป็นประธานอาเซียนปี 62 และผลักดันให้ความตกลง RCEP ได้สรุปผลการเจรจาและกลายมาเป็นความตกลงการค้าเสรีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งช่วยยกระดับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนในภูมิภาค เพิ่มโอกาสและความสามารถในการแข่งขันของไทย รวมทั้งเพิ่มทางเลือกในการสรรหาวัตถุดิบให้กับผู้ประกอบการ เพื่อป้อนเข้าสู่ภาคการผลิตเพิ่มขึ้นอีกด้วย
นางอรมน กล่าวเพิ่มเติมว่า กรอบความร่วมมือรอบอ่าวเป่ยปู้ ถือเป็นกรอบความร่วมมือระดับอนุภูมิภาคที่สำคัญระหว่างอาเซียนและจีน ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 3 มณฑลของจีน ได้แก่ มณฑลกวางตุ้ง มณฑลไห่หนาน และเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง และสมาชิกอาเซียน 7 ประเทศ ได้แก่ ไทย บรูไนฯ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม
นอกจากนี้ พื้นที่บริเวณรอบอ่าวเป่ยปู้ ยังเป็นจุดยุทธศาตร์สำคัญของเส้นทางการคมนาคมทางทะเล ซึ่งจะสร้างโอกาสในการขยายตลาดของไทยสู่ภูมิภาคจีนตะวันตกและภูมิภาคอื่นๆ ได้กว้างขวางยิ่งขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาไทยมีความร่วมมือกับจีน อาทิ ข้อตกลงท่าเรือพี่น้องระหว่างท่าเรือแหลมฉบังกับท่าเรือชินโจว ซึ่งนำมาสู่การเปิดเส้นทางเดินเรือจากไทยมุ่งตรงสู่อ่าวเป่ยปู้ และช่วยอำนวยความสะดวกเรื่องการขนส่งสินค้าให้กับผู้ประกอบการไทย ที่ต้องการส่งออกสินค้าสู่ตลาดของจีน โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและผลไม้ให้สามารถส่งออกได้รวดเร็วขึ้น
ในส่วนของการจัดทำบันทึกความเข้าใจ ระหว่างกระทรวงพาณิชย์ของไทยกับมณฑลกานซู่ ซึ่งจะช่วยเชื่อมโยงเส้นทางระเบียงการค้าทางบกกับทางทะเล ระหว่างประเทศสายใหม่ (ILSTC) ของจีน ซึ่งเป็นการขยายเส้นทางการขนส่งไปยังจีนตะวันตกและออกไปยังทวีปยุโรป โดยมีท่าเรือชินโจวเป็นต้นสายการขนส่งสินค้าที่สำคัญ และโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ซึ่งหากดำเนินการแล้วเสร็จ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งสินค้าและใช้ความได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ของไทย เพื่อพัฒนาไปสู่การเป็นศูนย์กลางด้านการคมนาคมและโลจิสติกส์ทางน้ำ ที่เชื่อมโยงกับประเทศอื่นในภูมิภาคในอนาคต
ทั้งนี้ ในปี 64 การค้ารวมของไทยกับมณฑลรอบอ่าวเป่ยปู้ มีมูลค่า 38,101 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 22.92% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และคิดเป็น 29.06% ของมูลค่าการค้ารวมทั้งหมดระหว่างไทยกับจีน โดยการค้ากับมณฑลกวางตุ้ง มีมูลค่าสูงสุด 30,132 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับการส่งออกสินค้าของมณฑลรอบอ่าวเป่ยปู้ไปไทย มีมูลค่า 14,958 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ โทรศัพท์ สื่อบันทึกที่ใช้แม่เหล็ก ส่วนประกอบของโทรศัพท์ อุปกรณ์รับ เปลี่ยน ส่งข้อมูล และเครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่
ส่วนของการนำเข้าสินค้าของมณฑลรอบอ่าวเป่ยปู้จากไทย มีมูลค่า 23,143 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ หน่วยเก็บข้อมูลอัตโนมัติ ส่วนประกอบของวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ทุเรียน เครื่องประมวลผลอิเล็กทรอนิกส์ และไม้ที่เลื่อยแล้ว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 ก.ค. 65)
Tags: RCEP, กระทรวงพาณิชย์, การค้า, จีน, จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์, อรมน ทรัพย์ทวีธรรม, ไทย