นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานคณะกรรมการแรงงานและพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตั้งแต่ปี 62 ที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยเป็นวงกว้าง ทั้งทางตรงและทางอ้อม
ทั้งนี้ จากการที่รัฐบาลโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีนโยบายเปิดประเทศเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งทรัพยากรแรงงาน ถือเป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ ตั้งแต่ภาคการส่งออก ภาคการผลิต การแปรรูปสินค้าวัตถุดิบในประเทศ และภาคท่องเที่ยวและบริการ
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการทุกภาคส่วน มีความต้องการใช้แรงงานต่างด้าวเพิ่มเติมในอุตสาหกรรมมากกว่า 5 แสนคน เพื่อรองรับการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตรและอาหารเพื่อการส่งออก อุตสาหกรรมก่อสร้าง และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ เป็นต้น
ดังนั้น หอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย โดยคณะกรรมการแรงงานและพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้ทำงานใกล้ชิดกับกระทรวงแรงงานตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จึงได้จัดทำข้อเสนอต่อการแก้ไขปัญหาการแรงงานต่างด้าวในภาคอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น ต่อนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ไปเมื่อวันที่ 30 มี.ค. 65 โดยมีประเด็นข้อเสนอ ดังนี้
1. เร่งรัดให้มีการนำทรัพยากรแรงงานต่างด้าวที่มีอยู่ในประเทศ มาขึ้นทะเบียนแรงงานใหม่ในประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานในอุตสาหกรรมเข้มข้น และเพื่อลดผลกระทบของผู้ประกอบการจากสถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบัน
2. กำหนดแนวทางการนำเข้าแรงงานต่างด้าว ลงนามบันทึกความตกลง (MOU) สัญชาติเมียนมาชุดใหม่จากประเทศต้นทางอย่างเร่งด่วน
3. กำหนดหลักเกณฑ์การเปลี่ยนนายจ้างของแรงงานต่างด้าวแต่ละกลุ่ม ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ชัดเจน เพื่อป้องกันผลกระทบของนายจ้างรายเดิม
4. จัดทำระบบฐานข้อมูลแรงงานต่างด้าว MOU เพื่อให้สามารถตรวจสอบและควบคุมแรงงานต่างด้าว
5. ประสานงานประเทศต้นทางเพื่อแก้ไขปัญหาและขยายระยะเวลาการต่ออายุ Passport & Visa ของแรงงานต่างด้าว MOU ที่ทำงานและอยู่ในราชอาณาจักรไทย โดยการนำบัตรสีชมพูของแรงงานต่างด้าว มาเป็นหลักฐานใช้เป็นเอกสารยืนยันตัวตนแทน Passport & Visa ของแรงงานต่างด้าว MOU
6. ประสานงานสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) เพื่อให้ระบบออนไลน์การรับแจ้งอยู่ในราชอาณาจักรเกิน 90 วันให้สามารถใช้ได้จริงครอบคลุมทุกพื้นที่จังหวัด พร้อมทั้งจัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียน สตม. (Hot Line) เพื่อรับเรื่องร้องเรียนของผู้ประกอบการ ที่ไม่สามารถใช้ระบบออนไลน์แจ้งรายงานตัว 90 วัน
นายพจน์ กล่าวว่า หอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้ร่วมประชุมหารือและขับเคลื่อนเพื่อการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวของประเทศไทย ร่วมกับกระทรวงแรงงาน กรมการจัดหางานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อวันที่ 5 ก.ค. 65 ครม. ได้เห็นชอบเรื่องการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว สัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม เพื่อรองรับการฟื้นฟูประเทศ ภายหลังการผ่อนคลายมาตรการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงแรงงาน จำนวน 15 ฉบับ แล้ว
“ในนามหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมการค้าที่เกี่ยวข้อง ขอขอบคุณนายกรัฐมนตรี, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี, รมว.แรงงาน ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน กรมการจัดหางาน และหน่วยงานภาครัฐทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องที่ได้มีมาตรการเชิงรุกต่างๆ ในการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวของประเทศไทย และแก้ไขปัญหาการแรงงานต่างด้าวในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น เพื่อรองรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบัน” นายพจน์ กล่าว
พร้อมประชาสัมพันธ์ให้สมาชิกหอการค้าไทย หอการค้าจังหวัด และสมาคมการค้า และผู้ประกอบกิจการทั่วประเทศ นำแรงงานต่างด้าวมาขึ้นทะเบียนตามระบบแนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว โดยหากมีข้อสงสัย สามารถติดต่อได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือโทรสายด่วน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน โทร 1694
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน ได้วางแนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม เพื่อรองรับการฟื้นฟูประเทศภายหลังการผ่อนคลายมาตรการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้ผ่านความเห็นชอบจากครม. เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 65 โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. เห็นชอบให้กลุ่มคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ที่ยังมีสถานะไม่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ประสงค์จะทำงานอย่างถูกต้อง ให้สามารถอยู่และทำงานเป็นการชั่วคราวไม่เกินวันที่ 13 ก.พ. 66 โดยหากประสงค์จะทำงานต่อไป สามารถอยู่และทำงานเป็นการชั่วคราวได้ไม่เกินวันที่ 13 ก.พ. 68 โดยต้องดำเนินการตามประกาศกระทรวงมหาดไทย และประกาศกระทรวงแรงงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเบื้องต้นกระทรวงแรงงานได้สำรวจข้อมูลจากนายจ้างสถานประกอบการพบว่า ยังมีความต้องการแรงงานประมาณไม่น้อยกว่า 120,000 คน
2. เห็นชอบให้กลุ่มคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา ที่มีสถานะถูกต้อง ซึ่งได้รับอนุญาตทำงานถึงวันที่ 13 ก.พ. 66 แล้วและประสงค์ทำงานต่อไป ประมาณ 1,690,000 คน สามารถอยู่และทำงานได้ไม่เกินวันที่ 13 ก.พ. 68 ซึ่งประกอบด้วย กลุ่มมติ ครม. 29 ธ.ค. 63, กลุ่มมติ ครม. 13 ก.ค. 64 และกลุ่มมติ ครม. 28 ก.ย. 64 โดยแบ่งการดำเนินการเป็น 2 กลุ่ม คือ
– กลุ่มที่รับการตรวจลงตราหรือตรวจอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรฯ ภายในวันที่ 1 ส.ค. 65 หากต้องการทำงานต่อไป ให้ยื่นขอต่อใบอนุญาตทำงานและดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนด ก่อนใบอนุญาตเดิมสิ้นอายุ เพื่อทำงานได้จนถึงวันที่ 13 ก.พ. 68 โดยครม. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการตรวจลงตรา ที่เดิมสิ้นสุดวันที่ 1 ส.ค. 65 ไปจนถึงวันที่ 13 ก.พ. 66
– กลุ่มที่รับการตรวจลงตราหรือตรวจอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรฯ ภายหลังวันที่ 1 ส.ค. 65 หากต้องการทำงานต่อไป ให้ยื่นขอต่อใบอนุญาตทำงานและดำเนินการ ตามขั้นตอนที่กำหนด ก่อนใบอนุญาตเดิมสิ้นอายุ โดยนายทะเบียนจะอนุญาตให้ทำงานคราวละ 1 ปี รวม 2 ครั้ง ถึงวันที่ 13 ก.พ. 68
อย่างไรก็ดี การดำเนินการของคนทั้ง 2 กลุ่ม จะสามารถเริ่มดำเนินการได้ หลังจากประกาศกระทรวงมหาดไทย และประกาศกระทรวงแรงงานมีผลบังคับใช้แล้ว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 ก.ค. 65)
Tags: พจน์ อร่ามวัฒนานนท์, หอการค้าไทย, เศรษฐกิจไทย, แรงงานต่างด้าว, ไพโรจน์ โชติกเสถียร