KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีก 75bps ในวันที่ 26-27 กรกฎาคม ซึ่งเกิดขึ้นก่อนการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทยครั้งต่อไปในวันที่ 10 สิงหาคม กว่า 2 สัปดาห์ และจะทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายระหว่างสหรัฐ และไทย สูงขึ้นถึง 1.875% ซึ่งเป็นส่วนต่างดอกเบี้ยนโยบายที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 50
KKP Research คาดการณ์ว่าในช่วงเวลานั้น แรงกดดันต่อค่าเงินบาทจะมีเพิ่มสูงขึ้นมาก และอาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้อีก และปรับการคาดการณ์การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จากเดิมที่คาดว่าจะขึ้น 25bps ในการประชุมรอบหน้า เป็นขึ้น 50bps และคาดว่าจะขึ้นต่อเนื่องอีก 2 ครั้ง ครั้งละ 25 bps ในปีนี้ ซึ่งจะทำให้ในปลายปีอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยจะปรับตัวสูงขึ้นไปอยู่ที่ 1.5% จากระดับปัจจุบันที่ 0.5%
การขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไปจะปรับตามไม่ทันดอกเบี้ยโลก การสื่อสารของ ธปท.ยังต้องการเน้นย้ำถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจไทย และส่งสัญญาณว่าจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ในขณะที่นักวิเคราะห์ในตลาดการเงินยังคาดการเป็นส่วนใหญ่ว่า ธปท.จะขึ้นดอกเบี้ยเพียง 1 – 2 ครั้งเท่านั้นในปีนี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปข้างหน้าแรงกดดันต่อ ธปท. จะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ และคาดว่าจะมีอีกหลายประเทศที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้นอีก โดยคาดการณ์ว่าการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นของ FED ในครั้งนี้จะเป็นการปรับตัวที่เร็วที่สุดรอบหนึ่งเมื่อเทียบกับเหตุการณ์ในอดีต
“การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย กำลังเข้าสู่ภาวะ “Behind the curve” ชัดเจนขึ้น หลังตัวเลขเงินเฟ้อยังออกมาอยู่ในระดับสูง นโยบายการเงินทั่วโลกเปลี่ยนทิศทางชัดเจน และค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงต่อเนื่อง แม้ใน
KKP Research ระบุว่า การดำเนินนโยบายการเงินของไทยที่ปรับตัวช้า และไม่เป็นไปตามทิศทางนโยบายการเงินโลกกำลังสร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทย ในช่วงที่ผ่านมา ธปท. สื่อสารให้เห็นว่าไทยไม่มีความจำเป็นต้องปรับดอกเบี้ยขึ้นตามสหรัฐ ฯ จาก 3 เหตุผล คือ 1) แรงกดดันด้านเงินเฟ้อของไทย เป็นแรงกดดันด้านอุปทานที่เกิดขึ้นชั่วคราว และจะสามารถคลี่คลายลงได้เอง 2) การปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น จะสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาวะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง 3) การขึ้นดอกเบี้ยและส่วนต่างดอกเบี้ยมีผลต่อค่าเงินบาทไม่มาก และที่ผ่านมา การอ่อนค่าของเงินบาทสอดคล้องกับการอ่อนค่าของเงินสกุลภูมิภาค ประกอบกับประเทศไทยมีเสถียรภาพด้านต่างประเทศที่แข็งแกร่ง ทำให้ยังมีความสามารถในการรองรับความผันผวนของค่าเงินในระยะสั้นได้
อย่างไรก็ตาม KKP Research ประเมินว่าจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลก และนโยบายการเงินโลกที่เปลี่ยนแปลงไป จะเริ่มทำให้ในช่วงหลังจากนี้การตัดสินใจนโยบายการเงินของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ต้องให้น้ำหนักกับภาวะเงินเฟ้อและปัญหาค่าเงินบาทมากขึ้น เนื่องจากมีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะในความเสี่ยง 3 ประเด็น คือ
- ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยกับประเทศในภูมิภาคกำลังจะกว้างขึ้น ซึ่งจะเริ่มมีแรงกดดันให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินในภูมิภาคได้ บทเรียนที่สะท้อนให้เห็นชัดเจน คือ ประเทศญี่ปุ่นที่มีการประกาศชัดเจนว่าจะดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไป ส่งผลให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงมากที่สุดในรอบกว่า 24 ปี
- การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอาจใหญ่และยาวกว่าที่คาด โดยในเดือนเมษายนและพฤษภาคม ประเทศไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงถึงประมาณเดือนละ 3-4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และกำลังจะทำให้การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในไตรมาส 2 ปีนี้ เป็นการขาดดุลที่มีมูลค่าสูงที่สุดนับตั้งแต่มีการบันทึกตัวเลขในปี 48 โดยเกิดจากทั้งนักท่องเที่ยวที่หายไป ต้นทุนค่าขนส่งที่สูงขึ้น ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะกดดันให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้เพิ่มเติม หรือสะท้อนว่าเสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยมีความแข็งแกร่งน้อยลง
- ความเสี่ยงในความน่าเชื่อถือของธนาคารกลาง เมื่ออัตราเงินเฟ้อเริ่มส่งผลต่อการคาดการณ์เงินเฟ้อของคนในระบบเศรษฐกิจ การปรับอัตราดอกเบี้ยช้าในภาวะที่เงินเฟ้อสูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้มาก โดยในปลายปี 64 ธปท.คาดการณ์เงินเฟ้อไว้เพียง 1.7% และปรับขึ้นต่อเนื่องจนเป็น 6.1% ในปัจจุบันซึ่ง หากตลาดมีความเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย behind the curve หรือปรับดอกเบี้ยช้าเกินไป จะส่งผลให้การดำเนินนโยบายการเงินทำได้ยากขึ้นมาก เพราะหากการคาดการณ์เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น และการปรับดอกเบี้ยนโยบายเพื่อสกัดเงินเฟ้อและค่าเงินบาท จะต้องปรับแรงกว่าเดิมในตอนหลัง และจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากกว่าการค่อย ๆ ปรับดอกเบี้ยขึ้นตั้งแต่วันนี้
ในภาวะที่เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ความเสี่ยงที่อัตราดอกเบี้ยกำลังจะปรับตัวสูงขึ้น จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจผ่านหลายช่องทาง เช่น 1) ผลกระทบต่อครัวเรือน จากภาระหนี้ที่จะปรับตัวสูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ย และผลกระทบต่อการชะลอตัวในการบริโภคสินค้าคงทน เช่น บ้าน รถยนต์ ที่ต้องอาศัยสินเชื่อการบริโภค 2) การปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอาจทำให้เกิดปัญหาสภาพคล่องในตลาดการเงิน โดยเฉพาะความเสี่ยงในการออกพันธบัตรภาคเอกชนใหม่ที่ต้องออกในต้นทุนที่สูงขึ้น จนอาจเกิดการผิดนัดชำระหนี้ 3) ผลกระทบต่อมูลค่าของสินทรัพย์โดยเฉพาะสินทรัพย์เสี่ยง การดูดเงินออกจากระบบเศรษฐกิจจะเพิ่มเสี่ยงให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยงมีโอกาสปรับตัวลดลง และกระทบกับความมั่งคั่งของคนในระบบเศรษฐกิจได้
ดังนั้นการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงหลังจากนี้ จึงนับเป็นช่วงที่มีความท้าทายอย่างมาก และจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและ ธปท. ในการหามาตรการเยียวยาผลกระทบที่เฉพาะเจาะจงกับกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น และผลกระทบจากเศรษฐกิจที่จะชะลอตัวลงจากการปรับอัตราดอกเบี้ย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 ก.ค. 65)
Tags: KKP, KKP Research, อัตราดอกเบี้ยนโยบาย, เกียรตินาคินภัทร, เงินเฟ้อ, เศรษฐกิจไทย