นายทรงศักดิ์ ปิยะวรรณรัตน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สยามเทคนิคคอนกรีต (STECH) เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังนี้จะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก จากปัจจุบันมีงานในมือ (Backlog) อยู่ราว 1,475 ล้านบาท คาดรับรู้รายได้ในปีนี้เกือบทั้งหมด แบ่งเป็น งานขายผลิตภัณฑ์จากคอนกรีตและบริการติดตั้ง จำนวน 1,352 ล้านบาท และโครงการก่อสร้างสายส่งระบบ 155 kV จำนวน 123 ล้านบาท
โครงการที่น่าสนใจ ได้แก่ โครงการเสาเข็มเขื่อนพัฒนาพื้นที่ชุมชนเมืองแกลง อ.แกลง จ.ระยอง มูลค่าราว 71 ล้านบาท, โครงการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าแรงสูง 115 kV สวรรคโลก มูลค่าราว 64 ล้านบาท, โครงการเสาเข็ม บรรเทาปัญหาน้ำท่วม พื้นที่ชุมชนบ้านกลาง ระยะที่ 2 มูลค่าราว 33 ล้านบาท, โครงการเสาสปัน ศาลายาวัน (Salaya One)-เฟส 2 (ส่วยขยายเฟส 1) มูลค่าราว 21 ล้านบาท, โครงการเสาเข็มเขื่อน ก่อสร้างระบบระบายน้ำหลักเพื่อบรรเทาปัญหาน้ำม่วมพื้นที่ชุมชนเมืองสกลนคร มูลค่าราว 18 ล้านบาท, เสาไฟฟ้า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มูลค่า 16 ล้านบาท เป็นต้น
ขณะที่บริษัทมีงานที่อยู่ระหว่างติดตามอีก 1,490 ล้านบาท หากได้รับงานทั้งหมดก็จะทำให้งานในมือขยับขึ้นแตะ 2,000 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ งานภาครัฐ ประกอบด้วย ก่อสร้างประตูระบายน้ำพื้นที่ฝั่งตะวันออกแม่น้ำเจ้าพระยา ประตูระบายน้ำพระเอกาทศรถ มูลค่างาน 260 ล้านบาท, โครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ สัญญาที่ 1 ช่วงเด่นชย-งาว มูลค่าราว 180 ล้านบาท, โครงการก่อสร้างขุดคลองระบายน้ำหลาก พร้อมอาคารประกอบ สัญญาที่ 4 มูลค่า 110 ล้านบาท และโครงการรถสายสีม่วง เตาปูน-ราชบูรณะ มูลค่า 142 ล้านบาท
งานภาคอสังหาฯ-คอนโด ได้แก่ โครงการเสนาคิทท์ ศรีนครินทร์-ศรีด่าน กรุงเทพฯ มูลค่า 20 ล้านบาท, โครงการ ATMOZ Flow Minburi เขตมีนบุรี จ.กรุงเทพฯ มูลค่า 18 ล้านบาท, โครงการ อีโค ทาวน์ รังสิต-ติวานนท์ จ.นนทบุรี มูลค่า 16 ล้านบาท, โครงการเอสเซ็นท์ วิลล์ ฉะเชิงเทรา (CCS) อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา มูลค่า 15 ล้านบาท
งานภาคเอกชน ได้แก่ โครงการไทวัสดุ จ.สมุทรปราการ มูลค่า 30 ล้านบาท, โครงการ Sequoia Project นครสวรรค์ มูลค่า 25 ล้านบาท, โครงการ Sanmina Plant Expansion อ.เมือง จ.ปทุมธานี มูลค่า 23 ล้านบาท, โครงการ Chicony Power Technology (Thailand) New Factory ต.ท่าข้าม อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา มูลค่า 19 ล้านบาท และโครงการขยายโรงงาน Pepsi Co มูลค่า 16 ล้านบาท
สำหรับความคืบหน้าการลงทุน โรงงานชลบุรี 2 เมื่อวันที่ 28 มี.ค.65 ได้เริ่มผลิตสินค้าแล้ว คาดเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 2/65 เป็นต้นไป, การเพิ่มกำลังการผลิต โรงงานสระบุรี (ดอนพุด) ปัจจุบันมีความคืบหน้าในการก่อสร้างแล้ว 70% คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จได้ภายในเดือนส.ค.นี้
ส่วนของการลงทุนโรงงานผลิตลวดเหล็กแรงดึงสูง เพื่อลดความผันผวนของต้นทุนหลัก ที่ผ่านมาได้ดำเนินการจัดตั้งบริษัทย่อย บริษัท สยามสตีลไวร์ จำกัด (STECH ถือหุ้น 100%) ปัจจุบันได้มีการสั่งเครื่องจักรจากต่างประเทศแล้ว ขณะที่โรงงานอยู่ระหว่างการออกแบบและคาดว่าจะพร้อมดำเนินการในไตรมาส 2/66 เมื่อเริ่มเดินเครื่องผลิตแล้วจะทำให้ต้นทุนในส่วนของเหล็กดีขึ้น เนื่องด้วยกำลังการผลิตราว 50% จะเป็นการผลิตเพื่อใช้เอง ส่วนที่เหลือจะจำหน่ายให้กับกลุ่มโรงงานพันธมิตร
นายทรงศักดิ์ กล่าวว่า บริษัทยังคงเป้าหมายนรายได้ปีนี้เติบโต 25-30% หรือมาอยู่ที่ 2,000 ล้านบาท จากปีก่อนมีรายได้ 1,540.51 ล้านบาท โดยไตรมาส 1/65 ทำได้แล้ว 512.67 ล้านบาท และคาดว่าไตรมาส 2/65 ก็น่าจะเติบโตดีกว่าไตรมาสแรก จากภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างที่ฟื้นตัว หลังสถานการณ์โควิด-19 ผ่อนคลาย ประกอบกับมาตรการเปิดประเทศจากภาครัฐ และนโยบายการลงทุน ส่งผลบวกต่อภาพรวมเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมก่อสร้างกลับมาคึกคัก ขณะที่ภาคเอกชนมีความเชื่อมั่น ทยอยเปิดตัวงานโครงการใหม่ทำให้มีความต้องการสินค้าและบริการคอนกรีตอัดแรงเพิ่มสูงขึ้น สนับสนุนภาพรวมธุรกิจของบริษัทฯ ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้เติบโตในระดับที่ดี
“เป้าหมายการเติบโตปีนี้ที่ 25-30% มาจากงานเอกชน ทั้งการขยายโรงงาน ขยายธุรกิจ ก่อสร้างบ้าน อาคารชุด, งานภาครัฐ ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน สพาน เขื่อนป้องกันน้ำท่วม โครงการก่อสร้างสายส่งระบบ 115 kV ที่ยังเติบโตต่อเนื่อง รวมถึงงาน Mega Project อย่างโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงไทย-จีน ที่กำลังก่อสร้างอยู่ โครงการรถไฟทางคู่ สายเหนือ-สายอีสาน เริ่มมีการเสนอราคา สอบถามราคาจากผู้รับเหมาหลัก โครงการ EEC ก็มีการขยับมากขึ้น ซึ่งจากเป้าหมายดังกล่าวก็น่าจะทำได้ หลังไตรมาสแรกก็สามารถโตได้ตามเป้าแล้ว” นายทรงศักดิ์ กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 มิ.ย. 65)
Tags: STECH, ทรงศักดิ์ ปิยะวรรณรัตน์, ผลการดำเนินงาน, สยามเทคนิคคอนกรีต, หุ้นไทย