รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า พร้อมด้วยทนายความ ได้เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาในคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่สถานีตำรวจนครบาล (สน.) ดุสิต กรณีที่นายเทพมนตรี ลิมปพยอม ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษตั้งแต่เมื่อเดือน พ.ย.64 โดยมีกลุ่มมวลชนที่รอให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก รวมถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคก้าวไกล อาทิ นายรังสิมันต์ โรม, นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล, น.ส.เบญจา แสงจันทร์, น.ส.สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา, นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ, นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล
นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความ กล่าวภายหลังรับทราบข้อกล่าวหาว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าว น่าจะมาจากกรณีการโพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และไลฟ์เฟซบุ๊ก จำนวน 8 ข้อความ โดยพนักงานสอบสวนเห็นว่ามีเพียง 1 ข้อความเท่านั้นที่เข้าข่ายความผิด คือข้อความว่า “สภาพสังคมปัจจุบันนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะอยู่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จำแลงได้อย่างสันติ แต่การปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ กองทัพ ศาล เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่รักษาสถาบันกษัตริย์ไว้อยู่ใต้รัฐธรรมนูญต่างหากที่เป็นไปได้และทำให้ทุกคนอยู่อย่างสันติ” ซึ่งลงช่องทางทวิตเตอร์เมื่อวันที่ 24 ต.ค.64
นายกฤษฎางค์ กล่าวว่า มีข้อสังเกตในฐานะที่ทำคดีมาตรา 112 มาพอสมควรว่า การมาพบพนักงานสอบสวนในวันนี้เป็นเพียงการมาตามนัด จึงไม่ได้ถูกควบคุมตัว แต่เมื่อรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลเดินทางมา กลับให้ความเห็นว่าควรกำหนดเงื่อนไขให้นายปิยบุตรมารายงานตัวทุก 7 วันด้วย ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติ แต่เพื่อไม่ให้พนักงานสอบสวนลำบากใจ นายปิยบุตร ยินดีมารายงานตัวทุก 7 วันตามเงื่อนไข
ด้านนายปิยบุตร กล่าวว่า ข้อความที่ถูกกล่าวโทษทั้ง 8 ข้อความนั้น อ่านแล้วไม่มีข้อไหนเข้าองค์ประกอบความผิด วิญญูชนคนมีเหตุมีผล สติสัมปชัญญะดี หากได้อ่านข้อความเหล่านี้ ก็ย่อมพิเคราะห์ได้ว่าไม่เข้าข่ายความผิดแม้แต่คำเดียว แต่เมื่อพนักงานสอบสวนมีความเห็นเช่นนี้ ตัวเองก็พร้อมต่อสู้คดีจนถึงที่สุด
สังคมไทยควรยอมรับตรงกันว่า ปัจจุบันเราต้องการพื้นที่ปลอดภัยในการพูดคุยเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อให้สังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ ทั้งฝ่ายที่ต้องการปฏิรูปและฝ่ายต่อต้านการปฏิรูป ซึ่งคือสิ่งที่ตัวเองพยายามทำมาตลอด แต่กลับกลายเป็นว่าการแสดงออกเช่นนี้ ต้องโดนกล่าวโทษว่าเป็นความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 112 เมื่อเป็นเช่นนี้จะเหลือทางเลือกไหนให้สังคมไทยเดินไปอีก
“สิ่งที่สำคัญมากกว่าผมเองจะโดนคดี คือสังคมไทย ตกลงแล้วจะปิดพื้นที่ทุกอย่างจนไม่สามารถพูดคุยเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์กันในพื้นที่สาธารณะได้เลยหรือ หากข้อความที่แสดงความเห็นทางวิชาการอย่างตรงไปตรงมา ยังโดนคดีได้ เส้นทางที่ถูกต้องคือสังคมไทยควรหาพื้นที่ปลอดภัยในการพูดคุยกัน ยอมรับความจริง และมาตกลงกันว่ากฎเกณฑ์ทางกฎหมายและรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ว่าจะทำอย่างไร ผมขอว่าอย่าให้มันไปสู่ทางตีบตันมากกว่านี้เลย” นายปิยบุตร กล่าว
นายปิยบุตร กล่าวว่า ขอยืนยันความปรารถนาดี และจะคงทำงานเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อไป และสำหรับคนที่กล่าวโทษนั้น ขอว่าเวลาจะร้องให้พิจารณาเรื่องกฎหมายบ้าง ต้องเข้าองค์ประกอบความผิด ไม่ใช่เอาจินตนาการความรู้สึกของตัวเองเที่ยวมาแจ้งความปิดปากกัน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 มิ.ย. 65)
Tags: กฤษฎางค์ นุตจรัส, คณะก้าวหน้า, ปิยบุตร แสงกนกกุล, ม.112