นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐคาดการณ์ว่า มีความเป็นไปได้ที่สหรัฐจะเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นตลอดทั้งปีนี้ และคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวลง
“เราเผชิญภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงในปีนี้ และมีแนวโน้มว่า อัตราเงินเฟ้อในช่วงที่เหลือของปีจะเพิ่มสูงขึ้นอีก ดิฉันคาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวลง แต่มั่นใจว่าเศรษฐกิจของเราจะหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยได้” นางเยลเลนให้สัมภาษณ์ในรายการ This Week ของสถานีโทรทัศน์เอบีซี นิวส์เมื่อวันอาทิตย์ (19 มิ.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น
นางเยลเลนยังกล่าวว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคโดยรวมในสหรัฐยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง แต่ลักษณะการใช้จ่ายเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากราคาสินค้าอาหารและพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น โดยปัจจัยที่จะช่วยพยุงการใช้จ่ายคือ เงินออมที่ภาคครัวเรือนเก็บสะสมไว้ในช่วงโควิด-19 ระบาด
ทั้งนี้ รายงานระบุว่า อัตราการออมเงินในสหรัฐร่วงลงมาอยู่ที่ 6% ซึ่งต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโรคระบาด หลังจากพุ่งแตะ 16.6% ในปี 2563 ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2491 และแตะระดับ 12.7% ในปี 2564
นอกจากนี้ รมว.คลังสหรัฐยังระบุว่า เหตุผลที่ทำให้เงินเฟ้อพุ่งแรงนั้นเป็นปัจจัยจากทั่วโลก ไม่ใช่แค่ระดับประเทศ ซึ่งเกิดจากภาวะชะงักงันของอุปทานพลังงานเนื่องจากสงครามในยูเครน และการส่งออกสินค้าจากจีนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ที่ยังคงใช้อยู่ โดยนางเยลเลนกล่าวว่า “ปัจจัยเหล่านี้ไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลายในระยะเวลาอันใกลนี้”
ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐยังคงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค พุ่งขึ้น 8.6% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 40 ปี และส่งสัญญาณว่า แรงกดดันด้านเงินเฟ้อกำลังขัดขวางการเติบโตของเศรษฐกิจ
การแสดงความเห็นของนางเยลเลนสอดคล้องกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอพีเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะสามารถหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยได้ เนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงแข็งแกร่ง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 มิ.ย. 65)
Tags: สหรัฐ, เงินเฟ้อสหรัฐ, เจเน็ต เยลเลน, เศรษฐกิจสหรัฐ