นายเสริมศักดิ์ วงศ์สิทธิโชค ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายค้าตราสารการเงิน บล.บัวหลวง (BLS) เปิดเผยว่า ในช่วงนี้มีหลายปัจจัยความเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อการลงทุนในกองทุนรวม เช่น สงครามรัสเซียยูเครนที่กินเวลายาวนานกว่าที่คาดการณ์ ทำให้เกิดวิกฤตพลังงาน และราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น หนุนให้เงินเฟ้อพุ่งทั่วโลก ล่าสุดเงินเฟ้อของไทยเดือนพ.ค. 2565 อยู่ที่ 7.1% สูงสุดในรอบ 13 ปี
รายงาน BLS Top Funds จึงแนะนำให้จัดพอร์ตลงทุนให้เหมาะกับสถานการณ์ โดยสัดส่วนลงทุนหลัก 90% ให้เน้นไปใน “กองทุนรวมผสม” ที่มีนโยบายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ เพื่อกระจายความเสี่ยงและลดความผันผวนของพอร์ต ส่วนที่เหลือให้ลงทุนในกองทุนที่อาจได้รับประโยชน์จากเงินเฟ้อพุ่งหรือราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นในสัดส่วน 10%
สำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำแนะนำ BCAP-GW25 กองทุนผสมลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงไม่เกิน 25% ของพอร์ต, ผู้ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางแนะ BCAP-GW50 กองทุนผสมลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงไม่เกิน 50% ของพอร์ต และให้เพิ่มการลงทุนในกองทุน KTILF ที่ลงทุนในตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนล้อตามเงินเฟ้อ และผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูงแนะ BCAP-GW7 กองทุนผสมลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ไม่เกิน 75% ของพอร์ต และให้เพิ่มการลงทุนในกองทุนหุ้นกลุ่มพลังงาน KT-ENERGY เพราะราคาพลังงานมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 มิ.ย. 65)
Tags: BLS, กองทุนรวม, บล.บัวหลวง, เสริมศักดิ์ วงศ์สิทธิโชค