หุ้นไทยแนวโน้มดัชนีเช้าปรับขึ้นตามตลาดหุ้นทั่วโลกตอบรับเฟดขึ้นดอกเบี้ยตามคาด

นักวิเคราะห์ฯ คาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นทั่วโลก ขานรับธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ตามที่ตลาดคาดการณ์ ส่งผลให้มีการ Buy on fact  หลังเทขายอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา โดยมองหุ้นธนาคาร พาณิชย์ หุ้นที่โดนเทขายก่อนหน้านี้ ที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้นจะปรับตัวขึ้นมาหนุนดัชนี ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงาน วันนี้น่าจะถูกกดดันจากราคาน้ำมันร่วงลง 3% ให้แนวรับที่ 1,585-1,590 จุด และแนวต้าน 1,610-1,618 จุด

นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นทั่วโลก หลังผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ตามที่ตลาดคาดไว้ ส่งผลให้ตลาดหุ้นในฝั่งสหรัฐรีบาวด์ และตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ก็บวกไปแล้วราว 2% โดยตลาดบ้านเราก็น่าจะบวกตามไปด้วยจากการ Buy on fact  หลังก่อนหน้านี้มีการเทขายกันอย่างหนัก

ขณะที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลง 3% หลังสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันพุ่งขึ้นสวนทางกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ รวมถึงถูกกดดันจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดด้วย ซึ่งน่าจะกดดันต่อหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงมาอย่างไรก็ตามวันนี้คาดว่าหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และหุ้นที่ถูกเทขายไปก่อนหน้านี้ ที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้นจะปรับตัวขึ้นหนุนดัชนี

ทั้งนี้ แนะนักลงทุนติดตามการประกาศหุ้นเข้า-ออก SET50, SET100, การประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 วันพรุ่งนี้ เกี่ยวกับการยกเลิกมาตรการ Thailand Pass และ FTSE Rebalance มีผลบังคับใช้ 17 มิ.ย.

ให้แนวรับไว้ที่ 1,585-1,590 จุด และแนวต้าน 1,610-1,618 จุด

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

– ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (15 มิ.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 30,668.53 จุด พุ่งขึ้น 303.70 จุด หรือ +1.00% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,789.99 จุด เพิ่มขึ้น 54.51 จุด หรือ +1.46% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,099.15 จุด พุ่งขึ้น 270.81 จุด หรือ +2.50%

– ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 26,715.52 จุด พุ่งขึ้น 389.36 จุด หรือ +1.48%, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 21,515.64 จุด เพิ่มขึ้น 207.43 จุด หรือ +0.97% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,306.84 จุด เพิ่มขึ้น 1.43 จุด หรือ +0.04%

– ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (15 มิ.ย.) ที่ระดับ 1,593.54 จุด ลดลง 9.49 จุด, -0.59%

– นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,538.12 ล้านบาท เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.65

– ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ค.(15 มิ.ย.)ร่วงลง 3.62 ดอลลาร์ หรือ 3% ปิดที่ 115.31 ดอลลาร์/บาร์เรล

– ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (15 มิ.ย.) อยู่ที่ 24.38 ดอลลาร์/บาร์เรล

– เงินบาทเปิด 34.80 กลับมาแข็งค่า หลังเฟดขึ้นดอกเบี้ยตามคาด จับตาประชุม BoE

– แบงก์ชาติชี้เงินบาทอ่อนค่าสุด ในรอบเกือบ 6 ปี หวั่นเฟดทำนโยบายการการเงินเข้มขึ้น ส่งผลกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ย้ำพร้อมติดตาม เงินบาทใกล้ชิด และพร้อมเข้าดูแลหากเงินบาท ผันผวนมากกว่าปกติ ด้านทีทีบี คาดมีโอกาสกนง.นัด ประชุมวาระพิเศษ หากเงินเฟ้อพื้นฐานพุ่ง เงินบาท อ่อนค่ารุนแรง

– “สมาคมอสังหาฯ” ชี้ เอ็นพีเอ ของระบบแบงก์ทะลัก 1.3 แสนล้านบาท เพิ่ม 46% หากเทียบกับ ก่อนโควิด-19 ที่มีเพียง 9.2 หมื่นล้าน คาด “แบงก์-เอเอ็มซี” แห่นำบ้านขาย ระบายสต็อก คาดธนาคารกสิกรไทย ขาย “หมื่นล้าน”

– กบง.คลอดมาตรการช่วยเหลือราคาพลังงาน ขยายเวลา B5 ถึง ก.ย.นี้ ขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมัน คงค่าการตลาด ต่ออายุเพิ่มเงินซื้อแอลพีจี ผ่านบัตรสวัสดิการ ประสาน “ปตท.” ลด ค่าก๊าซหุงต้มให้หาบเร่แผงลอย พร้อมคงราคาเอ็นจีวี อนุมัติขึ้นแอลพีจี ก.ก.ละ 1 บาท “สนธิรัตน์” ชี้ค่าการกลั่นลดได้ ต้องบริหารต้นทุนให้ต่ำสุด “กรณ์”หวั่นกองทุนน้ำมันแบกหนี้เกิน 2 แสนล้านในอีก 5 เดือน

– นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะอนุกรรมการบริหารการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กบอ.) ได้เห็นชอบการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล (Desalination) ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เพื่อสร้างความมั่นใจทรัพยากรน้ำให้คนพื้นที่อีอีซีและนักลงทุน ซึ่งจะเป็นเทคโนโลยีเพื่อสร้างความมั่นคงต่อทรัพยากรน้ำที่ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำเข้าสู่ระบบทั้งเพื่อการบริโภค ภาคเกษตร การผลิตในอุตสาหกรรม โครงการดังกล่าวจะมีการติดตั้งระบบผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล 2 แห่ง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และเมืองพัทยา ซึ่งในอีก 5 ปี หรือปี 2570 จะมีความจำเป็นต้องผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเลบริเวณมาบตาพุด 200,000 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวัน และพื้นที่อีอีซีในปี 2580 ต้องผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล 300,000 ลบ.ม.ต่อวัน

– ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการเพื่อเผยแพร่ โดยระบุว่า ตามที่มีข่าวว่ากระทรวงการคลังจะเรียกเก็บภาษีการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ โดยจะจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะ 0.1% ของมูลค่าขายตั้งแต่บาทแรกนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ เห็นว่ายังมี 4 ปัจจัยที่ควรพิจารณาเพิ่มเติมตามที่ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เคยนำเสนอมาโดยตลอด

*หุ้นเด่นวันนี้

– SISB (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 15 บาท คาดกำไรจะกลับมาเร่งตัวและเป็นขาขึ้น Q-Q และ Y-Y ชัดเจนในไตรมาส 2/65 หลังกลับมาเปิดทำการเรียนการสอนปกติ จำนวนนักเรียนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมการศึกษาอีก หนุนกำไรโตต่อเนื่องในครึ่งหลังปี 65 คาดกำไรปี 2565-2566 โตเฉลี่ยราว 37% ต่อปี ระยะยาวการเติบโตถูกรองรับด้วยการเปิด 2 Campus ใหม่ที่นนทบุรีและระยอง ภาพรวมกำไรกลับเข้าสุ่ Growth Stage อีกครั้งในปี 2565 -2569

– AOT (คิงส์ฟอร์ด) “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 76.00 บาท แนวโน้มผลประกอบการครึ่งหลังปี 64/65 คาดเห็นโมเมนตัมการฟื้นตัวต่อเนื่อง หลังภาครัฐผ่อนคลายมาตรการเดินทางเข้าประเทศไทยเป็นระยะ ด้วยการยกเลิกมาตรการ Test & Go และไม่ต้องตรวจ RT-PCR ตั้งแต่ 1 พ.ค.65 ช่วยเพิ่มความสะดวกให้แก่นักเดินทาง ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอนดีกว่าคาดจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ผ่านจุดสูงสุดมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ส่งผลบวกต่ออุตสาหกรรมการบินและการท่องเที่ยว โดยจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารรวมในเดือน เม.ย.65 เพิ่มขึ้น +10%MoM (+28%YoY) / +23%MoM (+95%YoY) เดือน พ.ค.65 เพิ่มขึ้น +1%MoM (+237%YoY) / +13%MoM (+923%YoY) และเพิ่มขึ้นต่อในช่วง 11 วันแรกของเดือน มิ.ย.65 เกินเท่าตัวเทียบปีก่อน

– BLA (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 48.00 บาท ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยรับจากการลงทุนที่จะมากขึ้น หลัง FED ขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมล่าสุด 0.75% และมีแนวโน้มขึ้นต่อมากกว่าที่ตลาดเคยประเมิน ประเมินจำนวนกรรมธรรม์และดอกเบี้ยประกันรับในปีแรกจะเพิ่มขึ้น โดยแผน 10/1 ซึ่งสามารถใช้ลดหย่อนภาษี และ Product อื่นๆ จะขายดีขึ้น คาดลูกค้ากลุ่มพนักงานออฟฟิศจะซื้อเพิ่มขึ้นหลังการเปิดเมือง Bloomberg Consensus ประเมินกำไรสุทธิปี 2565-2566 เฉลี่ยที่ 4.7 พัน ลบ. และ 5.9 พัน ลบ. +47.6%YoY, +26%YoY ตามลำดับ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 มิ.ย. 65)

Tags: , ,
Back to Top