ราคาหุ้นกลุ่มโรงกลั่นร่วงแรงกว่าดัชนี SET รับ sentiment เชิงลบจากประเด็นรัฐจะเข้ามาแทรกแซงค่าการกลั่น
เมื่อเวลา 10.59 น.
TOP ร่วง 6.17% หรือลดลง 3.50 บาท มาที่ 53.25 บาท มูลค่าซื้อขาย 1,394.68 ล้านบาท
BCP ร่วง 6.57% หรือลดลง 2.25 บาท มาที่ 32.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 242.48 ล้านบาท
SPRC ลบ 3.08% หรือลดลง 0.40 บาท มาที่ 12.60 บาท มูลค่าซื้อขาย 397.68 ล้านบาท
ESSO ลบ 4.10% หรือลลดง 0.50 บาท มาที่ 11.70 บาท มูลค่าซือขาย 142.73 ล้านบาท
IRPC ลบ 2.86% หรือลดลง 0.10 บาท มาที่ 3.40 บาท มูลค่าซื้อขาย 152.03 ล้านบาท
บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า มีประเด็นข่าวนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน ที่ออกมาระบุว่าอยู่ระหว่างการพิจารณาที่จะเข้าแทรกแซงค่าการกลั่น โดยอาจปรับลดค่าการกลั่นลงเพื่อลดราคาขายน้ำมันดีเซลและกลุ่มเบนซินที่หน้าสถานีบริการน้ำมัน เนื่องจากขณะนี้ค่าการกลั่นอยู่ในระดับ 20 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งโรงกลั่นน้ำมันมีกำไรสูง
จากประเด็นการที่รัฐจะเข้ามาแทรกแทรงค่าการกลั่น มองว่าจะเป็น Sentiment เชิงลบต่อหุ้นกลุ่มโรงกลั่น อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันตลาดน้ำมันในประเทศไทยเป็นตลาดเสรี ใช้กลไกตลาดโลกตาม Demand, Supply ดังนั้นแล้วโดยความเห็นเรามองว่ารัฐจะเข้ามาควบคุมค่าการกลั่นโดยตรงนั้นอาจจะเป็นไปได้ยาก แต่รัฐก็อาจจะมีกลไกอย่างอื่นในการขอความร่วมมือ อย่างเช่นที่เคยขอความร่วมมือให้สถานีบริการน้ำมันพยุงราคาดีเซลในช่วงที่ผ่านมา
เราได้ทำ Sensitivity Analysis ถ้ามีการลดค่าการกลั่น 1 เหรียญ/บาร์เรล เป็นระยะเวลา 6 เดือน จะส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิของโรงกลั่น 3% ถึง 10% ทั้งนี้ ประมาณการกำไรปี 2565 ของเรายังตั้งอยู่บนสมมติฐานของค่าการกลั่นที่ 7เหรียญ/บาร์เรล ดังนั้นแล้วถ้าค่าการกลั่นในช่วงที่เหลือของปียังสูงเกินกว่า 15 เหรียญ/บาร์เรล ผลกระทบต่อกำไรจะต่ำกว่านี้
บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุว่า เมื่อวันศุกร์ราคาหุ้นกลุ่มโรงกลั่นปรับตัวลงแรง โดยเฉพาะหุ้น TOP -6.6%DoD เกิดจากข่าวของนายสุพัฒนพงษ์ ให้สัมภาษณ์ว่าอยู่ระหว่างหารือเพื่อจัดทำแพคเกจการลดค่าครองชีพโดยเฉพาะราคาพลังงานโดยกำลังดูค่าการกลั่นซึ่งปัจจุบันสูงขึ้นมากว่าจะทำอย่างไรได้บ้าง ทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะมีการแทรกแซงราคาขายน้ำมันสำเร็จรูปของโรงกลั่นเพื่อกดราคาขายปลีกน้ำมันให้ลดลง
ทั้งนี้ มองว่ากลไกการทำธุรกิจโรงกลั่นเป็นตลาดเสรี ราคาขายน้ำมันให้กับผู้ค้าปลีกน้ำมันปรับขึ้นลงตามการอ้างอิงราคาตลาดสิงคโปร์ ซึ่งเป็นวัฎจักรมีทั้งช่วงที่มาร์จิ้นดีและช่วงที่มาร์จิ้นไม่ดี นอกจากนั้น ธุรกิจโรงกลั่นยังมีต้นทุนอื่นๆ ทั้ง Crude Premium OPEX ค่าเสื่อมราคา ดอกเบี้ยจ่าย รวมถึงต้นทุนการทำ Hedging ด้วย ดังนั้น เรามองว่าหากภาครัฐแทรกแซงให้โรงกลั่นปรับลดราคาขายน้ำมันสำเร็จรูปลงในช่วงค่าการกลั่นสูงเช่นปัจจุบันก็ดูไม่เป็นธรรมกับผู้ประกอบการและไม่จูงใจในการขยายการลงทุนใหม่
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าด้วยนายสุพัฒนพงษ์เคยเป็น CEO ของผู้ประกอบธุรกิจโรงกลั่นมาก่อน ก็น่าจะหาทางออกที่ดีและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย แต่ความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางดำเนินการต่อธุรกิจโรงกลั่นก็จะเป็นแรงกดดันหุ้นโรงกลั่นต่อเนื่อง รวมถึงราคาหุ้นได้ปรับขึ้นมามากแล้ว ทำให้เราปรับน้ำหนักหุ้นโรงกลั่นจากเดิม “Overweight” เป็น “Neutral” และหาจังหวะ “ขายทำกำไร” เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่ชัดเจนไปก่อน
ในหุ้นพลังงาน เรายังแนะนำหุ้น PTT ซึ่งราคาหุ้นไม่ได้ปรับขึ้นเลย Valuation น่าสนใจด้วย P/B เพียง 1.0x อัตราเงินปันผล 5.3% ซึ่งคุณลักษณะเหล่านี้เหมาะสมในช่วงตลาดหุ้นผันผวนสูงตามอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นมาก
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 มิ.ย. 65)
Tags: BCP, ESSO, IRPC, SPRC, TOP, หุ้นไทย