รฟท.รุกขยายตลาดเพิ่มขนส่งสินค้าทางราง ดันรายได้-กำไรโต, ตรึงค่าขนส่ง 3 เดือน

นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันปริมาณการขนส่งสินค้าทางรถไฟมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้กำลังดำเนินงานด้านการตลาดเชิงรุก เพื่อเพิ่มการขนส่งสินค้าทางรางโดยปี 65 มีเป้าหมายรายได้อยู่ที่ประมาณ 1,500-2,000 ล้านบาท มีปริมาณสินค้าประมาณ 12 ล้านตัน เพิ่มจากปี 64 ที่มีปริมาณสินค้าอยู่ที่ 11.3 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 2% โดยช่วงไตรมาส 1-2 ปี 65 ขนส่งสินค้าไปแล้วประมาณ 8.7-8.8 ล้านตัน และประเมินว่าช่วงครึ่งปีหลังปริมาณการขนส่งจะเป็นไปตามเป้าหมาย ส่วนในปี 66 คาดว่าการขนส่งสินค้าจะอยู่ที่ประมาณ 12.5 ล้านตัน เติบโตเฉลี่ย 2% จากปี 65

“ปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากการขนส่งผู้โดยสารกับขนส่งสินค้าอยู่ที่ 70:30 ซึ่ง รฟท.มุ่งเน้นบริการเชิงสังคมตอบสนองนโยบายรัฐและบริการประชาชน จึงไม่ได้มุ่งที่กำไรเป็นหลัก วันนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนในการพยายามดึงสินค้าจากถนนให้เปลี่ยนมาขนส่งทางรางก่อน ดังนั้นแม้จะมีปริมาณการขนส่งสินค้าเพิ่มในช่วงแรก แต่อาจจะยังไม่มีกำไรเพิ่มมากนัก แต่เชื่อว่า เมื่อมีการขนส่งทางรางปริมาณมากขึ้นในอนาคต รายได้และกำไรจะเพิ่มขึ้นตามไป” นายนิรุฒ กล่าว

นอกจากนี้ เมื่อการก่อสร้างรถไฟทางคู่แล้วเสร็จจะทำให้การบริหารจัดการเดินรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็วตรงเวลา ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการตัดสินใจหันมาใช้รถไฟในการขนส่งสินค้าเพิ่ม

สำหรับการขนส่งจะมี 2 รูปแบบ คือ ลูกค้าแบบเหมาขบวนที่มีผู้ประกอบการกว่า 10 ราย โดยจะทำสัญญากับ รฟท.เพื่อจอง Slot ส่วนปริมาณแคร่ที่มีรองรับกลุ่มนี้ค่อนข้างตึงตัว ซึ่งใช้สัดส่วนแคร่สินค้าประมาณ 60% และยังมีผู้ประกอบการใหม่ประมาณ 5-10 รายที่สนใจขนส่งสินค้าทางรถไฟแบบเหมาขบวน ส่วนลูกค้าแบบขนส่งรายย่อยทั่วๆ ไปมีกว่า 50 ราย ใช้สัดส่วนแคร่สินค้าประมาณ 40%

ทั้งนี้ รฟท.มีโบกี้รถบรรทุกตู้สินค้า (บทต.) ใช้งานประมาณ 1,000 คัน จึงมีความจำเป็นต้องจัดหาแคร่สินค้าเพิ่ม ซึ่งขณะนี้ได้เสนอแผนจัดหาแคร่จำนวน 965 คัน กรอบวงเงิน 2.3 พันล้านบาท (ประมาณ 2-3 ล้านบาท/คัน) ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงคมนาคมในรูปแบบการจัดหาที่เหมาะสมระหว่างการซื้อหรือการเช่า รวมถึงหาโมเดลการจัดหาอื่นๆ เพิ่มเติมด้วย เช่น การจ้างเหมาบริการ ทั้งนี้เพื่อให้มีความเหมาะสมและคุ้มค่าที่สุดในภาวะปัจจุบัน

สำหรับค่าบริการขนส่งสินค้าจะมีการเรียกเก็บจากผู้ประกอบการ 2 ส่วน คือ ค่าระวาง ซึ่งคิดตามระยะทางและน้ำหนัก ตามอัตราที่รฟท.ประกาศใช้ โดยจะมีส่วนลดให้กับลูกค้าขนส่งแบบเหมาขบวน เนื่องจากมีความแน่นอนในการขนส่ง และค่าอัตราค่าธรรมเนียมการใช้น้ำมัน ซึ่งปรับขึ้นลงตามราคาน้ำมัน

โดยจากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน รฟท.ได้ให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการตามนโยบายกระทรวงคมนาคม โดยคิดอัตราค่าธรรมเนียมน้ำมันตรึงราคาไว้ที่ 30 บาท/ลิตร เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือน มิ.ย.-ส.ค.65

สำหรับต้นทุนการขนส่งสินค้าในส่วนของค่าน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น หากราคาน้ำมันดีเซลปรับขึ้นทุก 1 บาท/ลิตร รฟท.จะมีภาระต้นทุนเพิ่มประมาณ 2 ล้านบาท/เดือน การตรึงต้นทุน 30 บาท/ลิตร เท่ากับมีส่วนต่างประมาณ 3 บาท/ลิตร ทั้งนี้หากครบระยะเวลา 3 เดือนในการตรึงราคาน้ำมันที่ 30 บาท/ลิตร รฟท.จะพิจารณาประมาณการค่าใช้จ่ายอีกครั้ง

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 มิ.ย. 65)

Tags: , , , ,
Back to Top