ในช่วงสายของวันอังคารที่ 24 พ.ค.ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับช่วงเช้าตรู่ของวันพุธที่ 25 พ.ค.ตามเวลาไทย คนทั้งโลกต้องตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่คนร้ายซึ่งมีอายุเพียง 18 ปีควงปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ AR-15 บุกเข้าไปในโรงเรียนประถม Robb Elementary School ที่เมืองยูวัลดี รัฐเท็กซัส และกราดยิงกระหน่ำใส่ทั้งเด็กนักเรียนและเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนอย่างไร้ความปรานี จนเป็นเหตุให้เด็กประถม 19 คนและครูอีก 2 คนเสียชีวิต ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์กราดยิงครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบ 10 ปีของสหรัฐ และสร้างความหวาดผวาให้กับผู้ปกครองและประชาชนที่ต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า
เหตุกราดยิงที่โรงเรียนประถมในเมืองยูวัลดีเกิดขึ้นในวันเดียวกันกับที่ปธน.โจ ไบเดนเดินทางกลับจากทริปเยือนเอเชีย ซึ่งแน่นอนว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันครั้งนี้ย่อมบั่นทอนความรู้สึกของผู้นำสหรัฐ โดยทันทีที่เครื่องบินแอร์ฟอร์ซวันแตะพื้นรันเวย์ที่สนามบิน ปธน.ไบเดนก็ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวถึงเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้น และจากนั้นเขาก็ได้เปิดทำเนียบขาวออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต พร้อมสั่งให้ทำการลดธงชาติอเมริกันลงครึ่งเสาเป็นเวลา 5 วันเพื่อแสดงความเคารพและไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิต
ในวันอาทิตย์ที่ 29 พ.ค. ปธน.ไบเดนและนางจิล ไบเดน สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง เดินทางไปยังเมืองยูวัลดี และได้วางดอกไม้เพื่อไว้อาลัยแก่เด็กและครูที่เสียชีวิตที่บริเวณด้านนอกโรงเรียน Robb Elementary School นอกจากนี้ ปธน.ไบเดนและภริยายังเดินทางไปเยี่ยมครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้รอดชีวิตจากเหตุกราดยิง และได้ใช้เวลาพูดคุยเป็นเวลาหลายชั่วโมง
รายงานระบุว่า ในระหว่างการเยี่ยมเยียนครอบครัวผู้สูญเสียในครั้งนี้ มีเสียงนิรนามดังขึ้นจากฝูงชนที่ไปร่วมพิธีไว้อาลัยในโบสถ์แห่งหนึ่ง ตะโกนร้องขอให้ปธน.ไบเดนเร่งใช้มาตรการควบคุมอาวุธปืน ซึ่งทำเอาผู้นำสหรัฐถึงกับชะงัก ก่อนที่เขาจะตะโกนกลับไปว่า “เราจะทำอย่างแน่นอน”
เหตุกราดยิงที่โรงเรียนประถมในเมืองยูวัลดียังสร้างความสะเทือนใจให้กับเมแกน มาร์เคิล ดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ พระชายาของเจ้าชายแฮร์รีแห่งราชวงศ์อังกฤษ ที่สละเวลาเดินทางไปร่วมไว้อาลัยด้วยการวางช่อดอกไม้ที่หน้าโรงเรียน โดยดัชเชสแห่งซัสเซกซ์เปิดเผยว่าเป็นการเยือนส่วนตัวในฐานะคุณแม่คนหนึ่ง เพื่อแสดงความเสียใจและอยู่เคียงข้างผู้ที่สูญเสีย
โศกนาฏกรรมที่โรงเรียนประถมแห่งนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน หลังเกิดเหตุกราดยิงในเมืองบัฟฟาโล รัฐนิวยอร์ก ซึ่งมีผู้เสียชีวิตกว่า 10 คน การที่มีคนร้ายใช้ปืนก่อเหตุกราดยิงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะนี้ ได้จุดปะทุให้เกิดการประท้วงต่อต้านในสหรัฐ โดยเฉพาะครอบครัวของผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการกระทำอันอุกอาจ นอกจากนี้ ยังนำไปสู่การผลักดันกฎหมายห้ามพกพาอาวุธปืนทั้งจากภาคเอกชนและภาครัฐ ด้วยความหวังที่ว่า ชาวอเมริกันจะอยู่อย่างสงบและปลอดภัยในยามที่ต้องดิ้นรนต่อสู้กับปัญหาเศรษฐกิจและโรคระบาด
* ย้อนรอยเหตุกราดยิงในสหรัฐช่วงครึ่งปีแรก
องค์กร Gun Violence Archive ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ไม่แสวงหาผลกำไรเปิดเผยว่า เหตุกราดยิงที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าในสหรัฐถือเป็นการสะท้อนปัญหาอาวุธปืนที่ฝังรากลึกในสหรัฐ พร้อมกับเปิดเผยข้อมูลว่า นับจนถึงวันอังคารที่ 24 พ.ค. มีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บจากอาวุธปืนในสหรัฐจำนวนมากกว่า 31,300 คน นอกจากนี้ Gun Violence Archive ยังพาเราไปย้อนรอยดูเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดจากอาวุธปืนตั้งแต่ต้นปี 2565 จนถึงวันเกิดเหตุล่าสุดคือวันที่ 24 พ.ค.
– 28 ก.พ. คนร้ายใช้ปืนบุกเข้าไปในโบสถ์แห่งหนึ่งใกล้กับห้างสรรพสินค้าอาร์เดิร์น แฟร์ (Arden Fair) ในเมืองซาคราเมนโต รัฐแคลิฟอร์เนีย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 5 คนซึ่งในจำนวนนี้มีเด็กรวมอยู่ด้วย 3 คน
– 3 เม.ย. สถานีตำรวจเมืองซาคราเมนโตรายงานว่า มีผู้เสียชีวิต 6 คนและบาดเจ็บ 12 คน จากเหตุการณ์คนร้ายใช้ปืนกราดยิงในเมืองแห่งนี้
– 8-11 เม.ย. มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 5 คน และมีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 18 คน จากเหตุกราดยิงในเมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนา
– 16 เม.ย. เกิดเหตุกราดยิง 2 ครั้งในรัฐเซาท์แคลิฟอร์เนีย ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 23 คน
– 17 เม.ย. มีผู้เสียชีวิต 2 คน และบาดเจ็บ 8 คนในเมืองพิทส์เบิร์ก รัฐเพนซิลวาเนีย จากเหตุคนร้ายใช้ปืนกราดยิงในบ้านหลังหนึ่งที่กำลังจัดงานรื่นเริง ซึ่งในงานดังกล่าวมีคนเข้าร่วมจำนวนมากถึง 200 คน
– 8 พ.ค. มีผู้เสียชีวิต 1 คนจากเหตุกราดยิงในย่านกริซลี พีค โบลูวาร์ด รัฐโอ๊คแลนด์
– 14 พ.ค. คนร้ายพร้อมอาวุธปืนบุกเข้าไปก่อเหตุกราดยิงซูเปอร์มาร์เก็ตในเมืองบัฟฟาโล รัฐนิวยอร์ก ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 10 คน และบาดเจ็บ 3 คน
– 15 พ.ค. มีผู้เสียชีวิต 1 คน และบาดเจ็บอย่างน้อย 4 คน จากเหตุคนร้ายกราดยิงในโบสถ์แห่งหนึ่งในรัฐแคลิฟอร์เนีย
– 15 พ.ค. มีผู้เสียชีวิต 2 คนและบาดเจ็บสาหัส 3 คน หลังคนร้ายใช้ปืนกราดยิงที่ตลาดนัดแห่งหนึ่งในเมืองฮิวสตัน
– 24 พ.ค. คนร้ายวัย 18 ปีก่อเหตุกราดยิงในโรงเรียนประถม Robb Elementary School เมืองยูวัลดี รัฐเท็กซัส ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตรวม 21 คน ซึ่งรวมถึงเด็ก 19 คน
* เหล่าแอคทิวิสต์ออกโรงกดดันไบเดนเร่งออกมาตรการควบคุมอาวุธปืน
หลังเกิดเหตุกราดยิงหลายครั้งในปีนี้ รวมถึงเหตุการณ์ที่โรงเรียนประถมเมืองยูวัลดี บรรดาแอคทิวิสต์ชาวอเมริกันที่สนับสนุนการควบคุมอาวุธปืนได้เปิดฉากพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว และเรียกร้องให้ปธน.ไบเดนใช้มาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อควบคุมความรุนแรงที่เกิดจากอาวุธปืน
แอคทิวิสต์เหล่านี้เรียกร้องว่า หากฝ่ายนิติบัญญัติยังไม่ผ่านกฎหมายควบคุมอาวุปืนได้ในขณะนี้ ก็ขอให้ปธน.ไบเดนเป็นตัวตั้งตัวตีในการออกมาตรการฉุกเฉินเพื่อลดผลกระทบของความรุนแรงที่เกิดจากปืน รวมทั้งแต่งตั้งผู้ตรวจการเพื่อควบคุมความรุนแรงจากอาวุธปืน และให้ออกคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อให้มีการตรวจสอบประวัติการซื้ออาวุธปืน
ไม่เพียงเท่านั้น กลุ่มแอคทิวิสต์ยังเดินทางไปประท้วงที่ด้านนอกการประชุมประจำปีของสมาคมปืนไรเฟิลแห่งชาติ (National Rifle Association: NRA) ในเมืองฮิวสตันเมื่อวันที่ 27 พ.ค. โดย NRA เป็นกลุ่มรณรงค์เพื่อสิทธิในการครอบครองอาวุธปืนที่ทรงอิทธิพลที่สุดในสหรัฐ และเป็นผู้บริจาครายใหญ่ให้กับสมาชิกรัฐสภา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพรรครีพับลิกัน
เหตุการณ์คนร้ายวัย 18 ปีใช้อาวุธปืนไรเฟิล AR-15 กราดยิงในโรงเรียนประถมยูวัลดี ทำให้ NRA ถูกจับตาอีกครั้งว่าสมาคมไรเฟิลแห่งนี้จะมีท่าทีอย่างไรกับเหตุการณ์สังหารหมู่อันโหดเหี้ยม ขณะที่ศิลปินดังอย่าง ดอน แมคลีน, ลี กรีนวูด และแลร์รี แกตลิน ตัดสินใจยกเลิกการปรากฏตัวในคอนเสิร์ตซึ่งจัดขึ้นโดยสมาคม NRA โดยแลร์รี แกตลินกล่าวว่าเขาสนับสนุนการตรวจสอบประวัติผู้ซื้อปืนเพราะเชื่อว่านี่เป็นก้าวหนึ่งในทิศทางที่ถูกต้อง
ในการประชุม NRA ครั้งนี้ อดีตปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเชิญให้ขึ้นกล่าวบนเวที โดยหนึ่งในวาทะเด็ดของทรัมป์ก็คือ “การมีอยู่ของความชั่วร้ายในโลกของเราไม่ใช่เหตุผลที่จะนำไปสู่การปลดอาวุธของพลเมืองที่ปฏิบัติตามกฎหมาย แต่การมีอยู่ของความชั่วร้ายเป็นเหตุผลที่ดีที่สุดประการหนึ่งต่างหากที่ทำให้พลเมืองที่ปฏิบัติตามกฎหมายต้องสามารถพกพาอาวุธปืน” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ทรัมป์ยังคงยืนหยัดสนับสนุนแนวคิดที่ว่าการควบคุมอาวุธปืนเท่ากับเป็นการทำให้ชาวอเมริกันที่ปฏิบัติตามกฎหมายไม่มีอาวุธป้องกันตัวและตกอยู่ในความเสี่ยงมากขึ้นจากการโจมตีของผู้ก่อการร้าย โดยที่ผ่านมานั้น ทรัมป์ให้การสนับสนุนสมาคม NRA อย่างต่อเนื่อง
* ส่องกฎหมายอาวุธปืนฉบับปัดฝุ่นของรัฐเท็กซัส เปิดทางเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีพกปืนได้
เหตุกราดยิงที่โรงเรียนประถมในเมืองยูวัลดีทำให้สื่อทุกแขนงหันมาจับตากฎหมายอาวุธปืนฉบับปรับปรุงใหม่ของรัฐเท็กซัสในทันที และทำให้กฎหมายฉบับนี้กลายเป็นที่ถกเถียงอีกครั้ง
นายเกร็ก แอบบอต ผู้ว่าการรัฐเท็กซัส ได้ลงนามผ่อนปรนกฎระเบียบในกฎหมายครอบครองอาวุธปืนที่ชื่อว่า “Unlicensed Carry Law” และให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนก.ย.ปีที่แล้ว ซึ่งเนื้อหาบางส่วนของกฎระเบียบใหม่ระบุว่า ชาวเท็กซัสที่มีอายุตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไปสามารถครอบครองและพกพาอาวุธปืนได้โดยไม่ต้องมีใบอนุญาต, ไม่ต้องตรวจสอบประวัติหรือผ่านการฝึกฝนการใช้ปืน, อนุญาตให้แขกที่เข้าพักในโรงแรมสามารถพกพาอาวุธปืนเข้าและออกจากห้องพักได้ รวมถึงเจ้าหน้าที่ในโรงเรียนของรัฐบาลและโรงเรียนเอกชนก็ได้รับอนุญาตให้พกพาอาวุธปืนได้
แม้ว่าอายุของผู้ครอบครองปืนในที่สาธารณะยังคงถูกกำหนดไว้ที่ 21 ปี แต่รัฐเท็กซัสก็มีกฎหมายอีกฉบับที่บังคับใช้พร้อม ๆ กัน โดยอนุญาตให้ผู้ที่มีอายุ 18-21 ปี สามารถซื้อปืนได้ หากเข้าเงื่อนไขที่สามารถครอบครองปืน เช่น มีความเสี่ยงจากความรุนแรงในครอบครัว ถูกสะกดรอยตาม และถูกบังคับค้าประเวณี และต้องอยู่ภายใต้คำสั่งคุ้มครองของพนักงานฝ่ายปกครอง
นอกจากนี้ ผู้ปกครองตามกฎหมายยังสามารถออกเอกสารอนุญาตให้เยาวชนสามารถซื้อปืนได้ หรือได้รับปืนเป็นของขวัญได้ด้วย ซึ่งกฎหมายของรัฐเท็กซัสแตกต่างจากกฎหมายของรัฐบาลกลางสหรัฐที่ห้ามไม่ให้บุคคลที่อายุต่ำกว่า 18 ปีครอบครองอาวุธปืน ยกเว้นแต่จะใช้ในการล่าสัตว์หรือใช้ป้องกันตัว
* จีนสบช่อง โหนกระแสต่อต้านความรุนแรงในสหรัฐ
หนังสือพิมพ์โกลบอล ไทม์ส และพีเพิลส์ เดลี ซึ่งเป็นสื่อกระบอกเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้ถือโอกาสกระพือข่าวความรุนแรงจากเหตุกราดยิงในโรงเรียนประถมเมืองยูวัลดีแบบไม่เว้นวัน โดยโกลบอล ไทม์สเรียกร้องให้สำนักงานข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UN) ยื่นมือเข้ามาสอบสวนเหตุกราดยิงในครั้งนี้ และโจมตีอย่างเจ็บแสบว่าสหรัฐล้มเหลวในการดูแลระบบ จึงกลายเป็นปมที่ทำให้สหรัฐแสดงออกอย่างก้าวร้าวกับประเทศอื่น ๆ
ขณะที่หนังสือพิมพ์พีเพิลส์ เดลี โจมตีสหรัฐผ่านบทบรรณาธิการหัวข้อ “Racism a poison running through American body politic (การเหยียดเชื้อชาติ พิษที่แล่นไปทั่วแวดวงการเมืองสหรัฐ)” โดยระบุถึงการสังหารชายผิวดำที่เมืองบัฟฟาโล
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ด้านการเมืองมองว่า ความเคลื่อนไหวของจีนรอบนี้อาจเป็นความพยายามที่จะเปลี่ยนจุดสนใจจากข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในมณฑลซินเจียง ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน
* จับตาท่าทีไบเดน หลังรับเผือกร้อนให้เร่งออกกฎหมายควบคุมอาวุธปืน
ขณะนี้คณะบริหารของปธน.ไบเดนพยายามกดดันให้สภาคองเกรสผ่านกฎหมายควบคุมอาวุธปืนที่เข้มงวดยิ่งขึ้น โดยคาดหวังว่าจะส่งผลกระทบที่ยั่งยืนกว่าการดำเนินการจากฝ่ายบริหาร โดยปธน.ไบเดนสั่งการให้เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวได้ติดต่อพูดคุยกับบุคคลระดับสูงของพรรคเดโมแครตเพื่อหารือถึงขั้นตอนต่อไปเกี่ยวกับกฎหมายอาวุธปืน
ทั้งนี้ ร่างกฎหมายจากพรรคเดโมแครตกำหนดให้มีการตรวจสอบประวัติ ตลอดจนสั่งแบนปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ และออกมาตรการควบคุมปืนให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี พรรคเดโมแครตล้มเหลวในการผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวมาเป็นเวลานับสิบปีในสภาคองเกรส หลังเผชิญเสียงคัดค้านจากพรรครีพับลิกัน รวมถึงจากพรรคเดโมแครตสายกลางและส.ส.อิสระบางคน
สำหรับตัวปธน.ไบเดนเองนั้น ออกอาการแบ่งรับแบ่งสู้ในเรื่องนี้ โดยเขากล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า “ผมไม่สามารถบงการในเรื่องนี้ได้ สิ่งใดที่ทำได้และการดำเนินการใด ๆ จากฝ่ายบริหารที่ทำได้ ผมก็ได้ทำไปแล้วและจะทำต่อไป แต่ผมไม่สามารถประกาศให้อาวุธปืนเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายได้”
… ท่าทีของปธน.ไบเดนสะท้อนให้เห็นว่า กฎหมายอาวุธปืนยังคงเป็นที่ถกเถียงและยังคงถูกใช้เป็นอาวุธทางการเมืองของสหรัฐ โดยเฉพาะในช่วงฤดูการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี โดยหากพรรคใดออกตัวแรงด้วยการสนับสนุนให้ควบคุมอาวุธปืน ผู้สมัครของพรรคนั้นจะมีคะแนนหล่นวูบทันที นั่นอาจเป็นเพราะรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐระบุว่า ประชาชนพึงมีสิทธิในการครอบครองอาวุธปืน ซึ่งชาวอเมริกันหลายล้านคนก็เชื่อว่านี่เป็นสิทธิที่ล่วงละเมิดมิได้ แม้ขณะนี้ปริมาณอาวุธปืนในประเทศจะมีมากกว่า 300 ล้านกระบอก และเกิดเหตุกราดยิงปีละหลายครั้งก็ตาม
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 มิ.ย. 65)
Tags: In Focus, lifestyle, กฎหมายปืน, กราดยิงสหรัฐ, ปืน, สหรัฐ