นายพิพัฒน์ วิริยธรานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน บมจ.เอสพีซีจี (SPCG) เปิดเผยว่า บริษัทคาดผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/65 น่าจะทำได้ใกล้เคียงกับไตรมาส 1/65 เนื่องจากปีนี้ฤดูฝนมาเร็วตั้งแต่เดือน มี.ค. ส่งผลให้การผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์ฟาร์ม ทำได้ต่ำกว่าเป้าหมาย แต่คาดว่าในเดือนมิ.ย.นี้ จะฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้บ้างจากที่คาดการณ์ว่าฝนอาจทิ้งช่วง ขณะเดียวกันจะมีโครงการโซลาร์ฟาร์มที่จะสิ้นสุดอายุสัญญาค่าไฟฟ้าในรูปแบบ Adder จำนวน 2 โครงการในไตรมาสนี้ด้วย
ขณะที่โครงการโซลาร์รูฟ ยังได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ลูกค้ากลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมยังชะลอการตัดสินใจลงทุน แต่คาดว่ายอดขายน่าจะกลับมาในไตรมาส 3/65 เป็นต้นไป เนื่องจากปัจจุบันมีลูกค้าที่ยืนยันการสั่งซื้อแล้วจำนวน 10-15 โครงการ เพียงแค่ชะลอการติดตั้งเพื่อรอดูภาพรวมเศรษฐกิจก่อน
บริษัทยังคงเป้ารายได้ปีนี้เติบโตเป็น 4.7 พันล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 4.58 พันล้านบาท แม้ปีนี้จะไม่มีการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) โครงการใหม่ และยังมีโครงการโซลาร์ฟาร์มที่สิ้นสุดอายุสัญญา Adder รวม 4 โครงการ โดยทุก 1 โครงการจะกระทบต่อรายได้ราว 70-80 ล้านบาท แต่อีกทางหนึ่งการสิ้นสุด Adder ก็จะทำให้ต้นทุนทางการเงินหรือหนี้ของบริษัทหมดไปด้วย
“ผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังจะกลับมาดีขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก โดยเฉพาะโซลาร์รูฟ หลังโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย มีการเปิดประเทศมากขึ้น ก็น่าจะส่งผลดีต่อการตัดสินใจลงทุนของลูกค้า”
นายพิพัฒน์ กล่าว
สำหรับโครงการโซลาร์ฟาร์มที่จะสิ้นสุด Adder อีก 14 โครงการในปี 66 และ 13 โครงการในปี 67 นั้น คาดจะกระทบกับรายได้หายไปปีละ 900 ล้านบาท ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างหาแหล่งรายได้ใหม่เข้ามาทดแทน เช่น การพัฒนาโครงการโซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่น ได้แก่ โครงการ Ukujima กำลังการผลิตติดตั้งรวม 480 เมกะวัตต์ มีกำหนด COD ในเดือน ก.ค.66 โดยเป็นความร่วมมือกับพันธมิตร มีผู้ถือหุ้นหลัก 9 ราย โดยบริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 17.92% ขนาดการลงทุนรวม 52,000 ล้านบาท เป็นส่วนของบริษัท 2,630 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้เข้ามาในปี 68 ไม่น้อยกว่า 286 ล้านบาท
และบริษัทยังอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการ Fukuoka Miyako Mega Solar ณ เกาะคิวชู (Kyushu) เมืองมิยาโกะฝั่งใต้ กำลังการผลิต 44 เมกะวัตต์ จะเริ่ม COD ในเดือน ก.พ.66 โดยทั้งโครงการใช้เงินลงทุนประมาณ 7,200 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนการลงทุนของบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ 10%
รวมถึงเตรียมพัฒนาโครงการโซลาร์ฟาร์ม ในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี และระยอง เฟส 1 จำนวน 23 โครงการ รวมกำลังการผลิตติดตั้ง 316 เมกะวัตต์ หลังทำสัญญาซื้อขายและโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแล้ว
นอกจากนี้ บริษัทยังมองหาการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ และการขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายผลักดันกำลังการผลิตติดตั้งเพิ่มเป็น 2,000 เมกะวัตต์ในปี 93
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 พ.ค. 65)
Tags: SPCG, พลังงาน, พิพัฒน์ วิริยธรานนท์, หุ้นไทย, เอสพีซีจี, โซลาร์ฟาร์ม, โซลาร์รูฟ