ผลสำรวจผู้จัดการกองทุนของแบงก์ ออฟ อเมริกาบ่งชี้ว่า นักลงทุนเลือกที่จะถือเงินสดมากกว่าที่จะนำไปลงทุนท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มขยายตัวในอัตราต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับภาวะ Stagflation หรือภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวลงและอัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น
ผลสำรวจระบุว่า นักลงทุนถือครองเงินสดที่ระดับสูงสุดในรอบ 20 ปีหรือนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2544 ซึ่งสะท้อนถึงผลสำรวจที่ซบเซาอย่างมาก
“ผลสำรวจในเดือนพ.ค.ยังบ่งชี้ว่า กลุ่มนักลงทุนที่มีทรัพย์สินรวมกันมูลค่า 8.72 แสนล้านดอลลาร์นั้นมองว่า ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ที่หันมาใช้นโยบายคุมเข้มด้านการเงินนั้น ถือเป็นความเสี่ยงมากที่สุด ส่วนความเสี่ยงที่รองลงมาคือภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ขณะที่ความกังวลเกี่ยวกับภาวะ Stagflation ได้เพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2551
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ผลสำรวจดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นทั่วโลกซึ่งทรุดตัวลงรายสัปดาห์ติดต่อกันยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินโลก เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับธนาคารกลางทั่วโลกที่เริ่มหันมาคุมเข้มนโยบายการเงินเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
ผลการสำรวจยังบ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นดอกเบี้ย 7.9 ครั้งในวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ ซึ่งมากกว่าผลสำรวจในเดือนเม.ย.ที่คาดไว้ที่ 7.4 ครั้ง
นอกจากนี้ ผลสำรวจยังแสดงให้เห็นว่านักลงทุนได้หันไปซื้อหุ้น Defensive Stocks หรือหุ้นที่ปลอดภัยและสามารถต้านทานวัฏจักรทางเศรษฐกิจได้ดี โดยให้น้ำหนักการถือครองหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค, กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มเฮลท์แคร์มากที่สุด
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 พ.ค. 65)
Tags: นักลงทุน, เงินเฟ้อ, เศรษฐกิจโลก, แบงก์ ออฟ อเมริกา