PJW คาดปิดดีลเข้าซื้อหุ้น แอนท์ โรโบติกส์ ในก.ค.นี้ ช่วยสร้างฐานรายได้-เพิ่มกำไร

นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ ประธานกรรมการบริหาร บมจ. ปัญจวัฒนาพลาสติก (PJW) เปิดเผยว่า บริษัทฯยังคงเดินเกมรุกทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างอัตราการเติบโตและผลตอบแทนที่ดีให้กับกลุ่มผู้ถือหุ้น ล่าสุด คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท แอนท์ โรโบติกส์ จำกัด (ANT) จำนวน 2 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท สัดส่วน 55% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด รวมมูลค่าซื้อ 20 ล้านบาท โดยจะทำพิธีลงนามในสัญญาเข้าร่วมลงทุน ภายในเดือนกรกฎาคม 2565 นี้ ทั้งนี้หากดีลดังกล่าวแล้วเสร็จจะส่งผลให้ บริษัท แอนท์ โรโบติกส์ ร่วมเป็นหนึ่งในบริษัทย่อยของ PJW ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทฯมีกลุ่มบริษัทย่อยในเครือรวมทั้งหมด 7 บริษัท

บริษัท แอนท์ โรโบติกส์ ดำเนินธุรกิจเป็นผู้ให้บริการรับออกแบบ ผลิตและจำหน่ายเครื่องจักรอัตโนมัติ สถานีทำงานด้วยหุ่นยนต์ รถลำเลียงอัตโนมัติไร้คนขับ และหุ่นยนต์ช่วยทำงานอื่นๆ ซึ่งมุ่งเน้นลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรม และมีความเชี่ยวชาญด้านงานวิศวกรรม รวมถึงการให้คำปรึกษาทางด้านเทคนิคที่เกี่ยวข้อง

สำหรับการเข้าลงทุนในครั้งนี้ PJW มองว่าเป็นการเปิดโอกาสใหม่ๆในการสร้างฐานรายได้ในอุตสาหกรรมที่มีโอกาสการเติบโตสูง เนื่องจากปัจจุบันหุ่นยนต์เข้ามามีบทบาทในการปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งในกระบวนการผลิตและตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน

“การเข้าลงทุนใน บริษัท แอนท์ โรโบติกส์ (ANT) ครั้งนี้ ถือเป็นการขยายโอกาสทางธุรกิจของทั้ง 2 บริษัท โดยทีมผู้บริหารของ ANT เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ ประกอบกับเทรนด์การเปลี่ยนแปลง ไปสู่ยุค 4.0 ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ทำให้มองว่าการมี ANT เข้ามาร่วมธุรกิจเป็นการยกระดับการพัฒนากระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพ และสามารถตอบโจทย์เทรนด์ดังกล่าวได้เป็นอย่างดี โดยในช่วงแรก PJW จะนำเครื่องจักรอัตโนมัติของ ANT มาใช้ในธุรกิจของบริษัทฯก่อน ซึ่งจะเป็นการลดต้นทุน และเพิ่มการทำกำไรให้บริษัทฯได้

ทั้งนี้ บริษัทฯเชื่อว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 น่าจะได้เห็นการเติบโตที่ชัดเจนของ ANT พร้อมทั้งคาดว่าในปี 67 จะเห็นอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดดของ ANT” อย่างแน่นอน

สำหรับภาพรวมการดำเนินงานในปี 65 บริษัทฯ ยังคงตั้งเป้าการเติบโต 10-15% เมื่อเทียบจากปีก่อน เนื่องจากมองว่าทุกกลุ่มธุรกิจมีการเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน เป็นผลจากสถานการณ์โควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลายทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น บรรจุภัณฑ์นมและนมเปรี้ยว และชิ้นส่วนยานยนต์ รวมถึงรายได้จากอุตสาหกรรมลอนดรี้ (ธุรกิจ ซัก อบ รีด) ที่คาดว่าจะมีการเติบโตมากขึ้น จากภาคการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้ม ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ยอดขายจากกลุ่มโรงแรมฟื้นตัวด้วยเช่นกัน

ในส่วนของผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 1/65 บริษัทฯ มีรายได้รวม 916.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 112.88 ล้านบาท หรือ 14.05 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิ อยู่ที่ 41.79 ล้านบาท โดยสาเหตุที่บริษัทฯมีรายได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากยอดขายบรรจุภัณฑ์ภาพรวม เพิ่มขึ้น 11.2% โดยเฉพาะจากบรรจุภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น และบรรจุภัณฑ์สำหรับนมและนมเปรี้ยว เป็นผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 เริ่มคลี่คลายลง ส่งผลให้การเดินทาง และการบริโภคในประเทศกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

สำหรับธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ มียอดขายเติบโตขึ้น 7.7% เป็นผลมาจากงาน New Model เกี่ยวกับการออกผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ หรือ parts ตัวใหม่ ที่มีการเปลี่ยนแปลงในรถยนต์ ที่เริ่มจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในช่วงต้นไตรมาส จึงทำให้บริษัทฯได้รับอานิสงส์ยอดขายดังกล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 พ.ค. 65)

Tags: , ,
Back to Top