บริหารสินทรัพย์ ไนท คลับฯ เคาะ IPO 3.70 บ./หุ้น เปิดจอง 22,25-26 เม.ย. เทรดต้นพ.ค.

นายทวี กุลเลิศประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บริหารสินทรัพย์ ไนท คลับ แคปปิตอล (KCC) เปิดเผยว่า ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 160 ล้านหุ้น คิดเป็น 25.81% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด ที่ราคาหุ้นละ 3.86 บาท จากมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยจะเปิดให้จองซื้อในวันที่ 22,25-26 เม.ย. ก่อนที่จะเข้าและจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในกลุ่มอุตสาหกรรมธุรกิจการเงิน ช่วงต้นเดือน พ.ค. 65

ขณะที่บริษัทได้ดำเนินธุรกิจ AMC มานานกว่า 20 ปี ซึ่งบริษัทมีความเชี่ยวชาญในการซื้อหนี้ โดยเฉพาะลูกหนี้สินเชื่อธุรกิจที่มีสัดส่วนกว่า 60.22% และลูกหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัย 39.78% ของเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้และดอกเบี้ยค้างรับสุทธิและในทุกๆ ขั้นตอนของการเข้าไปซื้อหรือประมูล NPLs จะดำเนินการอย่างรอบคอบ โดยสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจยังคงชะลอตัว ส่งผลให้สถาบันการเงินมีแนวโน้มที่จะนำ NPLs ออกมาเปิดประมูลขายในปริมาณที่เพิ่มขึ้นและหากดูตัวเลขจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ล่าสุดพบว่า NPLs ทั้งระบบมีกว่า 5 แสนล้านบาท ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้อุตสาหกรรม AMC ยังมีการเติบโตต่อเนื่อง

สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนประมาณ 592 ล้านบาท จะนำไปใช้ในการจัดหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขาย ในปี 65 ด้วยงบลงทุนราว 800 ล้านบาท จาก ณ สิ้นปีที่บริษัทมีพอร์ต NPLs ที่ 565.57 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะนำไปชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน และ/หรือชำระหุ้นกู้ที่ถึงกำหนดที่ออกโดยบริษัทและ/หรือภาระหนี้สินอื่นใดของบริษัท รวมถึงเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทและเพิ่มศักยภาพการเติบโตในอนาคต

ด้านนางสุพัตรา ภู่พัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย KCC กล่าวว่า ราคา IPO ที่ 3.70 บาทต่อหุ้น ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (P/BV) ที่ 5.00 เท่า โดยคำนวณจากมูลค่าทางบัญชีสุทธิสิ้นสุดปี 64 ของบริษัท ซึ่งเท่ากับ 460.61 ล้านบาท จะได้มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นเท่ากับ 0.74 บาท ทั้งนี้ อัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (P/BV) ดังกล่าว คำนวณจากผลประกอบการในอดีต โดยยังมิได้พิจารณาถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ ที่นักลงทุนควรพิจารณาประกอบการตัดสินใจในการลงทุน

นายวัชรินทร์ เลิศสุวรรณกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน KCC กล่าวว่า KCC เป็นบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรม AMC มีโอกาสเติบโตและเป็นธุรกิจที่อยู่ในเทรนด์อนาคต จากปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจ อีกทั้งหากดูโครงสร้างผู้ถือหุ้นและทีมผู้บริหาร

ทั้งนายสุชาติ บุญบรรเจิดศรี และ นายทวี กุลเลิศประเสริฐ ถือว่าเป็นผู้ที่มีประสบการณ์และคร่ำหวอดในธุรกิจบริหารหนี้และธุรกิจการเงินมากว่า 20 ปี จะเป็นปัจจัยสำคัญสนับสนุนให้ธุรกิจของบริษัทเติบโตได้ต่อเนื่อง
นอกจากนี้บริษัทยังมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับ 89% ซึ่งถือว่าสูงกว่าบริษัทในอุตสาหกรรมธุรกิจ AMC ขณะที่มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ในระดับต่ำเพียง 0.63 เท่า มีความสามารถที่จะหาแหล่งเงินเพื่อสนับสนุนการเติบโตได้อีกและมีเป้าหมายไม่ให้เกิน 2 เท่า
ทั้งนี้รายได้และกำไรเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี โดยผลประกอบการช่วงปี 62-64 บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงาน 57.10 ล้านบาท 128.10 ล้านบาทและ125.75 ล้านบาท ตามลำดับและมีกำไรสุทธิเท่ากับ 12.03 ล้านบาท 49.06 ล้านบาท และ52.42 ล้านบาท ตามลำดับ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 เม.ย. 65)

Tags: , , , , ,
Back to Top