KKP บวก 2.48% หลังงบ Q1/65 ดีกว่าคาดจากสำรองฯลดลง-สินเชื่อโตเด่น

ราคาหุ้น KKP ปรับขึ้น 2.48% หรือเพิ่มขึ้น 1.75 บาท มาที่ 72.25 บาท มูลค่าซื้อขาย 494.12 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.23 น. โดยราคาเปิด 72.00 บาท ราคาสูงสุด 72.50 บาท ราคาต่ำสุด 71.75 บาท

บล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) ประกาศกำไรไตรมาส 1/65 ดีกว่าคาดจากสำรองฯที่ลดลงและสินเชื่อที่โตเด่น โดยกำไรสุทธิไตรมาส 1/65 อยู่ที่ 2.05 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น +41% YoY และ +2% QoQ ดีกว่าที่ตลาดคาด +24% และ KTBST คาด +14% โดยมีสำรองที่รวมขาดทุนรถยึดอยู่ที่ 1.3 พันล้านบาท (น้อยกว่าเราคาดที่ 1.8 พันล้านบาท) ลดลง -25% YoY และ -35% QoQ (คิดเป็น credit cost ที่ 128bps และมีcoverage ratio เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 181% จาก ไตรมาส 4/64  ที่ 175%)

โดยมีตั้งเผื่อไว้ใน management overlay ราว 150 ล้านบาท และมีขาดทุนรถยึดลดลงมาอยู่ที่ 273 ล้านบาท จากไตรมาส 4/64 ที่ 489 ล้านบาท เนื่องจากมีการเร่งขายรถยึดมากขึ้นเพราะราคาขายยังทรงตัวในระดับสูง ขณะที่มีกำไรจากเงินลงทุนเข้ามาช่วยถึง 360 ล้านบาท จากปกติอยู่ที่ระดับ 150 ล้านบาท

ด้านรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิอยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท (น้อยกว่าที่เราคาด 1.7 พันล้านบาท) เพิ่มขึ้น +8% YoY จากธุรกิจตลาดทุนและ IB เป็นหลัก ส่วนสินเชื่อเติบโตได้โดดเด่นถึง +6.6% YTD ขณะที่ NIM ลดลงมาอยู่ที่ 4.13% จาก 4.33% ใน 4Q21 เพราะมีการปล่อยจากสินเชื่อรายใหญ่และสินเชื่อบ้านเพิ่มขึ้น ด้าน NPL ลดลงมาอยู่ที่ 2.9% จากไตรมาสก่อนที่ 3.0% จากสินเชื่อเช่าซื้อกลับมาชำระหนี้ได้

จากการปรับสำรองฯลด และปรับสินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น กำไรสุทธิในไตรมาส 1/65 คิดเป็น 30% ของประมาณการกำไรสุทธิ ทำให้เรามีการปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2565-2566 เพิ่มขึ้น 11-12% จากการปรับ credit cost ในปี 2565 ลดลงเหลือ 125bps จากเดิมที่ 140bps และปี 2566 ลงเหลือ 120bps จากเดิมที่ 135bps นอกจากนี้ ยังมีการปรับสินเชื่อปี 2565 เพิ่มขึ้นเป็น 12% YoY จากเดิมที่ 5% YoY และปรับอัตราการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิในปี 2565 เพิ่มขึ้นเป็น +1% YoY จากเดิมที่ -8% YoY ทำให้ได้กำไรสุทธิในปี 2565 อยู่ที่ 7.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น +20% YoY

ขณะที่คาดว่าแนวโน้มกำไรสุทธิ ไตรมาส 2/65 จะเพิ่มขึ้น YoY จากสินเชื่อยังคงขยายตัวดีต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุน (EDT) ซึ่งช่วยให้กำไรเติบโตเหนือกลุ่มฯ

ปรับราคาเป้าหมายขึ้นมาอยู่ที่ 84.00 บาท อิง 2022E PBV ที่ 1.25x (+0.75SD above 10-yr average PBV) จากเดิมที่ 77.00 บาท อิง 2022E PBV ที่ 1.20x (+0.50SD above 10-yr average PBV) จากการปรับ PBV และกำไรสุทธิเพิ่มขึ น แต่มีความเสี่ยงจากขาดทุนรถยึดที่มีโอกาสมากกว่าคาดจากภาพรวมเศรษฐกิจที่แย่ลง และแนวโน้ม NPLs ที่จะสูงขึ้นมากกว่าคาด

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 เม.ย. 65)

Tags: , ,
Back to Top