บล.เคทีบีเอสที (KTBST) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะ “ซื้อ” หุ้น บมจ.สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (SPRC) เป้า 11.50 บาท หลังแจ้งการบันทึกค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับ SPM สูงกว่าคาดใน Q1/65 โดย SPRC แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ว่าบริษัทได้รับรู้ค่าใช้จ่ายและประมาณการหนี้สินที่อาจจะเกิดขึ้น (provision) ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์น้ำมันรั่วที่ทุ่นผูกเรือน้ำลึกแบบทุ่นเดี่ยวกลางทะเล (SPM) เป็นจำนวนเงิน 42 ล้านเหรียญสหรัฐใน Q1/65
โดยชี้แจงว่าค่าใช้จ่ายและประมาณการหนี้สินส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายในการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินในการขจัดคราบน้ำมันและเงินช่วยเหลือที่จ่ายให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ ในปัจจุบัน บริษัทอยู่ในระหว่างการดำเนินการเพื่อเรียกร้องเงินภายใต้ความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยจากบริษัทประกันภัย
KTBST ระบุว่า เรามีมุมมองเป็นลบต่อข่าวนี้ โดยตัวเลข provision นั้นสูงกว่าที่เราประมาณการเอาไว้ทั้งปีที่ 700 ล้านบาท อย่างไรก็ดี เราเชื่อว่าการตั้ง provision ใน Q1/65 ของบริษัทจะครอบคลุมถึงมูลค่าเสียหายเกือบทั้งหมดของเหตุการณ์น้ำมันรั่วแล้ว
ทั้งนี้เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อภาพรวมธุรกิจโรงกลั่นใน Q1/65 ที่ยังคงได้ประโยชน์จากอุปทานน้ำมันโลกที่ตึงตัวซึ่งส่งผลให้ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันและราคาน้ำมันดิบ (crack spread) แข็งแกร่งต่อเนื่อง อีกทั้ง บริษัทน่าจะมีการรับรู้กำไรจากสต็อกน้ำมันในระดับสูง ซึ่งน่าจะมากพอที่จะชดเชย provision ที่สูงกว่าคาดได้
ทั้งนี้ แม้ว่าแนวโน้ม crude premium ที่สูงขึ้นอาจจะทำให้ market GRM อ่อนตัว QoQ ใน Q2/65 แต่ก็ยังอยู่ในระดับสูง YoY เราจึงยังคงประมาณการกำไรปี 65/66 ที่ 4.6/5.1 พันล้านบาท เทียบกับ 4.7 พันล้านบาทในปี 64 และคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 11.50 บาท อิง PBV เป้าหมายที่ 1.30x (เท่ากับ -0.25SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี)
ขณะที่ บล.โนมูระ พัฒนสิน เรามอง Negative ต่อข่าวการบันทึกค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์น้ำมันรั่ว เพราะ
1) ค่าใช้จ่ายที่จะบันทึกใน Q1/65 ราว 42 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1,400 ลบ.) สูงกว่าที่บริษัทเคยให้แนวโน้มไว้ช่วงประชุมนักวิเคราะห์ราว 5 ล้านเหรียญสหรัฐอยู่มาก ซึ่งอาจทำให้ตลาดผิดหวัง
2) ค่าใช้จ่ายดังกล่าวหลังภาษีฯที่ราว 1,120 ลบ. คิดเป็น downside ราว 23% ต่อกำไรปกติปี 65 และคิดเป็นราว 0.26 บาท/หุ้น หรือราว -3% ต่อ TP22F ของเรา
3) คาดการได้รับเงินประกันอาจไม่ทันในปี 65
4) คาดเงินประกันที่ได้รับ กรณีแย่สุดอาจเป็นเพียง 25% ของค่าใช้จ่าย 42 ล้านเหรียญสหรัฐ
5) คาดยังอาจมีค่าใช้จ่ายบางส่วนที่ยังไม่ได้บันทึกใน 1Q22F ประเมินราว 155-350 ลบ. หรือคิดเป็นหลังภาษีฯราว 124-280 ลบ. หรือ 0.03-0.06 บาท/หุ้น
และ 6) การซ่อมแซมล่าช้ากว่าที่เคยคาดอย่างน้อยราว 1 ไตรมาส ซึ่งจะส่งให้บริษัทต้องแบกรับค่า freight มากกว่าคาดราว 211 ลบ. หรือราว 0.05 บาท/หุ้น ประมาณการปัจจุบันเรามองการซ่อมแซมจบใน Q1/65
ทั้งนี้รวม downside ค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขี้นได้ทั้งหมดหลังภาษีฯราว 1,611 ลบ. หรือราว -33% คิดเป็นรวมราว 0.4 บาท/หุ้น โดยในส่วนของการซ่อมแซมทุ่นบริษัทคาดค่าใช้จ่ายจะไม่ถึงส่วน deductible 20 ล้านเหรียญสหรัฐ ของประกัน property damage วงเงินราว 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และยังไม่สามารถประเมินได้
บล.กสิกรไทย ระบุว่ายังคงแนะนำ “ซื้อ” หุ้น บมจ.สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (SPRC) (Outperform) ให้ราคาเป้าหมายที่ 11.0 บาท หลังจาก SPRC แจ้งว่าจะรับรู้ค่าเสียหายจำนวน 42 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากเหตุน้ำมันรั่วในไตรมาส 1/65 ต่ำกว่าที่เราคาดไว้ที่ 2 พันล้านบาท แม้จะมีค่าใช้จ่ายพิเศษดังกล่าว แต่กำไรสุทธิไตรมาส 1/65 คาดว่าจะยังเป็นบวก จากค่าการกลั่นและการใช้กำลังกลั่นสูงขึ้น และกำไรจากสต็อกน้ำมันขนาดใหญ่ โดยกำไรปกติไตรมาส 2/65 น่าจะสูงขึ้นอีก จากค่าการกลั่นและการใช้กำลังกลั่นที่สูงขึ้นไปอีก ปัจจัยเสี่ยง คือ เมื่อไหร่ที่ SPM จะกลับมาใช้ได้และเงินชดเชยประกันที่จะได้รับ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 เม.ย. 65)
Tags: SPRC, สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง, หุ้นไทย