ECB เผยวิกฤตรัสเซีย-ยูเครนเป็นตัวแปรในการตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ย

ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนมี.ค. โดยระบุว่า สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนส่งผลให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจเผชิญกับความไม่แน่นอน และเป็นสาเหตุที่ทำให้ ECB มีความระมัดระวังเรื่องการตัดสินใจที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

“ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น และราคาพลังงานในยูโรโซนพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่รัสเซียใช้กำลังทหารโจมตียูเครน ซึ่งการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเงินเฟ้อในยูโรโซนด้วย”

รายงานการประชุมระบุ

ในการประชุมเมื่อวันที่ 10 มี.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการบริหารของ ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ระดับ 0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ รวมทั้งคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ระดับ -0.50% และคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25%

นอกจากนี้ ในการประชุมวันดังกล่าว ECB ได้ส่งสัญญาณยุติการซื้อพันธบัตรในไตรมาส 3 ซึ่งเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยจะปูทางสำหรับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้เพื่อสกัดเงินเฟ้อ หลังจากพุ่งขึ้น 5.8% ในเดือนก.พ. สูงกว่าเป้าหมายของ ECB ที่ระดับ 2%

อย่างไรก็ดี รายงานการประชุมซึ่งเผยแพร่ในวันพฤหัสบดี (7 เม.ย.) ระบุว่า ECB ยังคงใช้ความระมัดระวัง และยังไม่เร่งรีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยคณะกรรมการบริหารของ ECB มีความเห็นตรงกันว่า การกำหนดช่วงเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและการยุติโครงการซื้อพันธบัตรนั้น จะแยกออกจากกัน จากเดิมที่ ECB ส่งสัญญาณว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะเกิดขึ้นไม่นานหลังจากโครงการซื้อพันธบัตรสิ้นสุดลง

การที่ ECB ตัดสินใจดังกล่าวนั้น มีเป้าหมายที่จะ “เว้นระยะ” ในการดำเนินนโยบาย เพื่อประเมินสถานการณ์โดยอ้างอิงข้อมูลที่จะได้รับในวันข้างหน้า

นอกจากนี้ ในการประชุมวันที่ 10 มี.ค.ที่ผ่านมา ECB ยังประกาศว่าจะลดการซื้อพันธบัตรภายใต้โครงการ Asset Purchase Programme (APP) สู่ระดับ 4 หมื่นล้านยูโรในเดือนเม.ย., 3 หมื่นล้านยูโรในเดือนพ.ค. และ 2 หมื่นล้านยูโรในเดือนมิ.ย. ส่วนการซื้อพันธบัตรหลังจากนั้นจะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจที่ ECB ได้รับ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 เม.ย. 65)

Tags: , ,
Back to Top