สศก.เผย GDP เกษตร Q1/65 โต 4.4% ทั้งปีคาดโต 2-3% จับตาราคาน้ำมัน-บาทแข็งกระทบต้นทุน

นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภาวะเศรษฐกิจการเกษตรไตรมาส 1/65 (ม.ค.-มี.ค. 65) พบว่า ขยายตัว 4.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 64 ซึ่งมีทิศทางเป็นบวกต่อเนื่องจากไตรมาส 4/64 (ต.ค.-ธ.ค. 64) ที่ขยายตัว 0.7%

สำหรับการเติบโตได้ดีในไตรมาสนี้ เป็นผลจากสาขาพืชซึ่งเป็นสาขาการผลิตหลักขยายตัว เนื่องจากฝนที่ตกต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงกลางปี 64 ถึงต้นปี 65 และสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย ทำให้การผลิตพืชสำคัญเพิ่มขึ้น ส่งผลให้สาขาบริการทางการเกษตรขยายตัวได้ตามพื้นที่เพาะปลูกและพื้นที่เก็บเกี่ยวพืชที่เพิ่มขึ้น ขณะที่สาขาประมงและสาขาป่าไม้ ขยายตัวได้จากการผลิตที่เพิ่มขึ้นตามความต้องการของตลาด

ที่มีอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม สาขาปศุสัตว์หดตัวลงจากสถานการณ์โรคระบาดในสัตว์ที่ส่งผลให้เกษตรกรปรับลดปริมาณการเลี้ยง

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาเป็นรายสาขา พบว่า สาขาพืช ขยายตัว 6.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 64 โดย สินค้าพืชที่มีผลผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่

  • ข้าวนาปี ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากฝนที่ตกต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปี 64 ทำให้มีปริมาณน้ำเพียงพอในช่วงฤดูเพาะปลูก เกษตรกรจึงขยายการเพาะปลูกในพื้นที่ว่าง ประกอบกับภาครัฐมีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวอย่างต่อเนื่อง
  • ข้าวนาปรัง ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำที่สำคัญและแหล่งน้ำตามธรรมชาติมีมากขึ้น เกษตรกรจึงขยายการเพาะปลูกในพื้นที่นาปรังเดิมที่เคยปล่อยว่าง และเกษตรกรในภาคกลางบางรายทำการเพาะปลูกชดเชยในพื้นที่ที่เสียหายจากสถานการณ์น้ำท่วมในช่วงปลายเดือนก.ย. 64
  • อ้อยโรงงาน ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณน้ำและสภาพอากาศเอื้ออำนวย ส่งผลให้ต้นอ้อยเจริญเติบโตได้ดีขึ้น ประกอบกับโรงงานน้ำตาลมีระบบประกันราคารับซื้อผลผลิตอ้อยสดคุณภาพดี จูงใจให้เกษตรกรหันมาปลูกอ้อยและเอาใจใส่ดูแลผลผลิต
  • สับปะรดโรงงาน ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากสับปะรดที่ปลูกในช่วงปลายปี 63 ถึงต้นปี 64 เริ่มให้ผลผลิต ซึ่งเป็นผลจากราคาสับปะรดโรงงานในช่วงดังกล่าวอยู่ในเกณฑ์ดี จูงใจให้เกษตรกรขยายพื้นที่ปลูกสับปะรดในพื้นที่ปล่อยว่าง และปลูกแซมในสวนยางพาราและสวนมะพร้าวที่ปลูกใหม่
  • ยางพารา ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณน้ำฝนมีเพียงพอ ทำให้ต้นยางสมบูรณ์ดี และการระบาดของโรคใบร่วงยางพาราในภาคใต้ซึ่งเป็นแหล่งผลิตที่สำคัญลดลง ประกอบกับความต้องการใช้ยางพาราเพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศจากอุตสาหกรรมยานยนต์ และการผลิตถุงมือยาง ทำให้เกษตรกรเพิ่มจำนวนวันกรีดยาง
  • ปาล์มน้ำมัน ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากการขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันในปี 62 เพื่อทดแทนพืชชนิดอื่น ได้แก่ เงาะ ลองกอง กาแฟ และยางพารา เริ่มให้ผลผลิตในช่วงปี 65 และในแหล่งผลิตสำคัญมีสภาพอากาศเอื้ออำนวย รวมถึงราคาปาล์มน้ำมันมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาตลาดโลก เกษตรกรมีการบำรุงดูแลมากขึ้น ส่งผลให้ทะลายปาล์มมีความสมบูรณ์
  • ลำไย ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีเนื้อที่ให้ผลเพิ่มขึ้นจากต้นลำไยที่เกษตรกรปลูกแทนพืชอื่นในปี 62 เช่น ลิ้นจี่ และไม้ผลอื่น ซึ่งเริ่มให้ผลผลิตในช่วงปี 65 ประกอบกับสภาพอากาศเอื้ออำนวย ทำให้ลำไยติดผลดีและมีจำนวนผลต่อช่อเพิ่มขึ้น โดยเป็นผลผลิตนอกฤดูผลผลิตซึ่งส่วนใหญ่มาจากจังหวัดจันทบุรี
  • ทุเรียน ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาอยู่ในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง จูงใจให้เกษตรกรมีการบำรุงดูแลรักษา และมีการทำทุเรียนนอกฤดูมากขึ้น ประกอบกับการขยายพื้นที่ปลูกใหม่ในปี 60 เริ่มให้ผลผลิตในปี 65 เป็นปีแรก
  • มังคุด ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากในช่วงเดือนธ.ค. 64-ม.ค. 65 ตอนกลางของประเทศมีอากาศหนาวเย็นที่เอื้ออำนวยต่อการออกดอกและติดผล และในปีที่ผ่านมามังคุดมีการออกดอกและติดผลน้อย ทำให้มีเวลาพักสะสมอาหาร ส่งผลให้มีการออกดอกติดผลมากขึ้น

ส่วนสินค้าพืช ที่มีผลผลิตลดลง ได้แก่

  • ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ผลผลิตลดลง เนื่องจากปัญหาด้านสภาพอากาศและการเกิดอุทกภัยในแหล่งผลิตสำคัญในช่วงเดือนก.ย.-พ.ย. 64 ส่งผลให้พื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงไตรมาสนี้บางส่วนได้รับความเสียหาย
  • มันสำปะหลัง ผลผลิตลดลง เนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกสำคัญหลายจังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา ชัยภูมิ ลพบุรี นครสรรค์ และอุทัยธานี ประสบปัญหาอุทกภัยและน้ำท่วมขังในช่วงเดือนก.ย.-ต.ค. 64 ส่งผลให้หัวมันเน่าเสียหาย และไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้
  • เงาะ ผลผลิตลดลง เนื่องจากเกษตรกรมีการบำรุงดูแลรักษาน้อยกว่าไม้ผลอื่นที่มีราคาสูง ประกอบกับมีการปรับเปลี่ยนไปปลูกไม้ผลอื่นที่มีราคาดีกว่า และมีการตัดโค่นต้นที่ปลูกแซมในสวนทุเรียน มังคุด และปาล์มน้ำมันที่เติบโตขึ้น ทำให้ปริมาณผลผลิตลดลง

สำหรับสาขาปศุสัตว์ หดตัว 2.0% เนื่องจากการผลิตสุกรได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคระบาดตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ทำให้เกษตรกรต้องลดปริมาณการเลี้ยง ประกอบกับต้นทุนค่าอาหารสัตว์ที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ความต้องการสินค้าปศุสัตว์ที่ยังมีต่อเนื่อง การจัดการฟาร์มที่ได้มาตรฐานและการเฝ้าระวังโรคอย่างเข้มงวด ทำให้ผลผลิตปศุสัตว์หลายชนิดเพิ่มขึ้นได้

ในส่วนของสินค้าปศุสัตว์ที่มีผลผลิตลดลง คือ สุกร เนื่องจากเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรมีความกังวลกับสถานการณ์โรคระบาดในสุกรตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะโรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกร (African Swine Fever: ASF) ประกอบกับต้นทุนการเลี้ยงที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้เกษตรกรมีการปรับลดปริมาณการเลี้ยงสุกร

ส่วนสินค้าปศุสัตว์ที่มีผลผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่ ไก่เนื้อ เนื่องจากมีการขยายการผลิตเพื่อรองรับความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ ด้านไข่ไก่ ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากเกษตรกรมีการจัดการฟาร์มที่มีประสิทธิภาพ และสภาพอากาศเอื้ออำนวย ส่งผลให้ไข่ไก่ออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น ส่วนน้ำนมดิบ ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากเกษตรกรมีการบริหารจัดการฟาร์มที่ดี ดูแลเอาใจใส่สุขภาพของแม่โคและมีการปรับปรุงพันธุ์แม่โคให้มีอัตราการให้น้ำนมเพิ่มขึ้น

สำหรับสาขาประมง ขยายตัว 2.5% เป็นผลมาจากผลผลิตประมงทะเลในส่วนของสัตว์น้ำที่นำขึ้นท่าเทียบเรือในภาคใต้มีปริมาณเพิ่มขึ้น เนื่องจากมรสุมเริ่มลดลง ชาวประมงสามารถนำเรือออกไปจับสัตว์น้ำได้เพิ่มขึ้น ส่วนปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคประมงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 มีทิศทางดีขึ้น โดยแรงงานได้รับวัคซีนตามที่กำหนดและสามารถกลับเข้าทำงานได้

ในส่วนของกุ้งทะเลเพาะเลี้ยงมีปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากระดับราคาที่จูงใจ ทำให้เกษตรกรปรับเพิ่มจำนวนลูกพันธุ์และลงลูกกุ้งมากกว่าช่วงที่ผ่านมา แม้จะยังพบการระบาดของโรคขี้ขาว ไวรัสตัวแดงดวงขาว หัวเหลือง ในบางพื้นที่ แต่เกษตรกรมีการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี ทำให้มีผลผลิตออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น

ด้านผลผลิตประมงน้ำจืด ปลานิล และปลาดุก มีผลผลิตเพิ่มขึ้นจากน้ำในแม่น้ำลำคลองมีเพียงพอสำหรับการเลี้ยงและเกษตรกรมีการอนุบาลลูกปลาให้ได้ขนาดและแข็งแรงก่อนปล่อยลงบ่อเลี้ยง ทำให้อัตราการรอดสูงขึ้น

สำหรับสาขาบริการทางการเกษตร ขยายตัว 2.4% โดยกิจกรรมการเตรียมดินเพิ่มขึ้นตามพื้นที่เพาะปลูกพืชสำคัญที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าวนาปี ข้าวนาปรัง และมันสำปะหลัง เนื่องจากปริมาณน้ำเพียงพอต่อการเจริญเติบโตของพืช และราคาที่เกษตรกรขายได้อยู่ในเกณฑ์ดี และกิจกรรมการเก็บเกี่ยวผลผลิตเพิ่มขึ้นตามพื้นที่เก็บเกี่ยวผลผลิตพืชสำคัญที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าวนาปรัง และสับปะรดโรงงาน

สำหรับสาขาป่าไม้ ขยายตัว 2.2% เนื่องจากผลผลิตไม้ยางพารา ถ่านไม้ และครั่ง เพิ่มขึ้นเป็นหลัก โดยผลผลิตไม้ยางพารา เพิ่มขึ้นตามพื้นที่การตัดโค่น สวนยางพาราเก่า เพื่อปลูกทดแทนด้วยยางพาราพันธุ์ดีและพืชอื่น และความต้องการของตลาดจีนที่มีมากขึ้น ด้านผลผลิตถ่านไม้ เพิ่มขึ้นตามความต้องการใช้ภายในประเทศทั้งโรงแรมและร้านอาหาร รวมถึงการส่งออกไปยังจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ด้านผลผลิตครั่ง เพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโต และยังเป็นที่ต้องการของตลาดอินเดีย ส่วนรังนกยังมีความต้องการจากประเทศจีนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ความต้องการไม้ยูคาลิปตัส เพื่อเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมผลิตเยื่อกระดาษลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตรในปี 65 ยังคงคาดการณ์ว่า จะขยายตัวอยู่ในช่วง 2.0-3.0% เมื่อเทียบกับปี 64 โดยทุกสาขาการผลิต มีแนวโน้มขยายตัว เนื่องจากปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นจากอิทธิพลของลานีญา ประกอบกับภาครัฐมีความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ ส่งเสริมให้เกษตรกรมีการบริหารจัดการด้านการผลิตและการตลาดที่ดี มีการใช้เทคโนโลยีในการผลิตและยกระดับคุณภาพสินค้า ให้ได้มาตรฐานสอดคล้องกับความต้องการของตลาด นอกจากนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่อนคลายมาตรการมากขึ้น ทำให้มีความต้องการสินค้าเกษตรทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากภาวะฝนทิ้งช่วงและความแปรปรวนของสภาพอากาศในบางพื้นที่ แนวโน้มราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น และส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตทั้งในด้านราคาปุ๋ย สารกำจัดศัตรูพืช และอาหารสัตว์ รวมถึงค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่า อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ ตลอดจนสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่อาจส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในภาพรวม

“สถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน แทบไม่มีผลกระทบต่อ GDP เกษตร เพราะทั้งสองประเทศไม่ใช่ประเทศคู่ค้าหลัก โดยจะกระทบเศรษฐกิจในภาพรวมเท่านั้น และถึงแม้จะมีสงคราม แต่ก็ยังต้องมีการส่งออกสินค้าเกษตรเพื่อการบริโภค ด้านโลจิสติกส์ทั่วโลกได้รับผลกระทบจากค่าระวางเรือที่สูงขึ้น แต่ค่าระวางเรือนั้นเป็นเรื่องของประเทศปลายทางที่ส่งออก”

นายฉันทานนท์ กล่าว

อัตราการเติบโตของภาคเกษตร

หน่วย: ร้อยละ

สาขา ไตรมาส 1/65 (ม.ค.-มี.ค.)
ภาคเกษตร                                  4.40
พืช                                      6.30
ปศุสัตว์                                  -2.00
ประมง                                    2.50
บริการทางการเกษตร                        2.40
ป่าไม้                                    2.20
ที่มา: กองนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 มี.ค. 65)

Tags: , , , ,
Back to Top