นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจ มาร์ท (JMART) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ากำไรในช่วง 3 ปี (ปี 65-67) เติบโตเฉลี่ย 50% ต่อปี โดยมาจากการเติบโตของบริษัทในเครือบริษัททั้งหมด โดยที่ธุรกิจหลักของบริษัท คือ ธุรกิจเจมาร์ท โมบาย ยังคงมียอดขายโทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในร้านเจมาร์ทเติบโตอย่างต่อเนื่อง
โดยที่ยังผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือต่างๆ และผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยังมีการออกสินค้าใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง และผู้บริโภคมีการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์โทรศัพท์และซื้อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มาต่อเนื่องเช่นเดียวกัน
ขณะที่ธุรกิจบริหารจัดการหนี้เสียภายใต้การดำเนินงานของ บมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) ยังมีแนวโน้มการเติบโตของพอร์ตการบริหารจัดการหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และขยายธุรกิจไปร่วมทุนกับพันธมิตรต่างๆ ซึ่งนำร่องจากธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ (AMC) โดยทปัจจุบัน JMT อยู่การเตรียมตัวในการเริ่มธุรกิจ AMC กับธนาคารกสิกรไทย (KBANK) โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในช่วงไตรมาส 2/65
ส่วน บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) ยังมีความสามารถในการเติบโตได้อีกมาก หลังจากได้รับเงินเพิ่มทุนจาก บมจ.ยู ซิตี้ (U) JMART และผู้ถือหุ้นเดิมของ JMART รวมกันราว 1 หมื่นล้านบาท ทำให้ SINGER เร่งการขยายการเติบโตของธุรกิจได้รวดเร็วมากขึ้น และจะเข้ามาเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยหนุนเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้เป็นตามเป้าได้อย่างมีนัยสำคัญ
ด้าน บมจ.เจเอเอส แอสเซ็ท (J) ยังคงมีผลงานที่เข้ามาดีอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเดินหน้าขยายโครงการคอมมูนิตี้มอล์ใหม่ๆเพิ่มเติม ทำให้มีรายได้เข้ามาเพิ่มขึ้น และการรุกเข้าสู่ธุรกิจศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งได้มีความร้วมมือกับโรงพยาบาลวิมุติล่าสุดในโครงการ JAS Green Village คู้บอน และจะขยายแห่งที่ 2 ในย่านบางบัวทองเพิ่มเติม และยังมีการ Synergy ร่วมกับ JMT ในการนำทรัพย์ที่เป็น NPA ที่ JMT ซื้อมามารีโนเวทขายสร้างรายได้เสริมเข้ามาให้กับ J ได้อีกด้วย
นอกจากนี้ การร่วมทุนกับ KB Kookmin Card ภายใต้บริษัท เคบี เจ แคปปิตอล จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจบัตรกดเงินสดสินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ จะมีการขยายการเติบโตในเชิงรุก และก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 5 ธุรกิจ Non Bank ของประเทศไทย ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรธนาคารยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ ซึ่งนำเทคโนโลยีมาผนวกเข้าใช้ในการขยายฐานลูกค้า รวมถึงการใช้ช่องทางผ่านสาขาของเจมาร์ท ในการให้บริการสินเชื่อแก่ลูกค้า ทำให้สามารถขยายการเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
ส่วน บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด ยังคงมีการพัฒนาโปรเจคส์ใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง หลังจากเปิดตัว J NFT และจะมี J Metaverse ตามมา อีกทั้งยังมีการนำ Jfin coin มาใช้เป็นประโยชน์ใน Ecosystem ของเครือเจมาร์ท และพันธมิตร เพื่อให้เกิดการใช้งานจริง
“เรายังมองโอกาสในการลงทุนใหม่ๆอย่างต่อเนื่องที่จะทยอยประกาศออกมา และมุ่งมั่นเดินหน้าสร้างการเติบโตในแต่ละปีให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ พร้อมกับผสานความร่วมมือของธุรกิจในเครือให้มีการเติบโตไปพร้อมกัน”
นายอดิศักดิ์ กล่าว
จากเป้าหมายการเติบโตของกำไรที่บริษัทตั้งไว้นั้นนอกจากที่จะมาจากการเติบโตด้านผลการดำเนินงานของบริษัทในกลุ่มเจมาร์ทแล้ว ยังมาจากต้นทุนทางการเงินที่ลดลง หลังจากที่บริษัทได้มีพันธมิตรจากกลุ่ม บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ที่ได้เข้ามาเพิ่มทุน ทำให้บริษัทมีเงินที่รองรับการขยายการเติบโตให้กับธุรกิจในเครือกว่า 3 หมื่นล้านบาท โดยเป็นเงินที่ไม่มีดอกเบี้ย ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนเป้าหมายการเติบโตของกำไรที่บริษัทตั้งไว้ในช่วง 3 ปีนี้อย่างมีนัยสำคัญ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 มี.ค. 65)
Tags: JMART, หุ้นไทย, อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา, เจ มาร์ท