ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร CCP ที่ “BB+” แนวโน้ม “Stable”

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี (CCP) ที่ระดับ “BB+” พร้อมแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่”

อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงขีดความสามารถในการแข่งขันที่เพียงพอของบริษัทและประโยชน์จากการมีทำเลทางธุรกิจอยู่ในจังหวัดชลบุรี นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าผลการดำเนินงานทางการเงินและสัดส่วนหนี้สินของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นในระยะปานกลางอีกด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็ยังคงมีข้อจำกัดจากการที่บริษัทมีขนาดธุรกิจที่เล็กและมีการกระจุกตัวของพื้นที่ดำเนินธุรกิจ รวมไปถึงความอ่อนไหวของบริษัทที่มีต่อวงจรธุรกิจและการแข่งขันด้านราคาในอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

– มีขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับปานกลางและได้ประโยชน์จากทำเลทางธุรกิจในจังหวัดชลบุรี บริษัทเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าคอนกรีตซึ่งดำเนินธุรกิจอยู่ในเขตภาคตะวันออกของประเทศไทย โดยความเข้มแข็งทางธุรกิจของบริษัทมาจากการมีประวัติการดำเนินงานที่ยาวนานกว่า 30 ปีและการมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งในพื้นที่จังหวัดชลบุรีและจังหวัดใกล้เคียง สินทรัพย์หลักของบริษัทซึ่งประกอบไปด้วยโรงงานคอนกรีตสำเร็จรูป โรงงานคอนกรีตมวลเบา รวมถึงร้านค้าปลีกสมัยใหม่ก็ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรีด้วยเช่นกันซึ่งส่งผลทำให้บริษัทมีข้อได้เปรียบในด้านการให้บริการและต้นทุนการขนส่งที่ดีกว่าคู่แข่งในภูมิภาคอื่น ๆ

ธุรกิจของบริษัทยังได้ประโยชน์จากการพัฒนาเศรษฐกิจในจังหวัดชลบุรีและระยองที่มีความล้ำหน้าอีกด้วย โดยเห็นได้จากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในพื้นที่ดังกล่าวที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นอกจากนี้โครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐหลาย ๆ โครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor — EEC) นั้นก็ช่วยทำให้แนวโน้มของอุปสงค์ด้านวัสดุก่อสร้างน่าจะมีอนาคตที่ดีในระยะยาวอีกด้วยเช่นกัน

– เป็นธุรกิจที่มีขนาดเล็กและมีการกระจุกตัวของพื้นที่ดำเนินธุรกิจ ทริสเรทติ้งมองว่าขนาดธุรกิจที่เล็กของบริษัทจะยังคงเป็นข้อจำกัดสำคัญต่อโอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัท ทั้งนี้ ขนาดของสินทรัพย์และฐานกระแสเงินสดของบริษัทนั้นถือว่าเล็กกว่าของบริษัทอื่นๆ ที่มีอันดับเครดิตสูงกว่าอยู่มาก ซึ่งทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่นทางการเงินที่จะต้านทานต่อสภาวะยากลำบากที่ค่อนข้างต่ำกว่า นอกจากนี้ สถานะทางธุรกิจของบริษัทยังสะท้อนถึงการขาดความหลากหลายในด้านพื้นที่ดำเนินธุรกิจของบริษัทอีกด้วยเนื่องจากแหล่งรายได้หลักของบริษัทนั้นอยู่เฉพาะในภูมิภาคตะวันออกของประเทศไทย

– มีความเสี่ยงจากความผันผวนของวงจรอุตสาหกรรมและการแข่งขันด้านราคา ความเข้มแข็งทางธุรกิจของบริษัทนั้นถูกลดทอนลงจากความอ่อนไหวต่อวงจรอุตสาหกรรมซึ่งส่งผลทำให้บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ไม่แน่นอน โดยทริสเรทติ้งมองว่าอุปสงค์ที่มีต่อสินค้าของบริษัทนั้นเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการขึ้นลงของวงจรเศรษฐกิจ ตลอดจนกิจกรรมการก่อสร้าง และการลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ

นอกจากนี้ ตลาดวัสดุก่อสร้างยังมีการแข่งขันที่สูงด้วย ซึ่งเห็นได้จากการแข่งขันด้านราคาที่มีความรุนแรง รูปแบบสินค้าที่ไม่แตกต่างกันมากนัก ในขณะที่มีคู่แข่งจำนวนมากในตลาด ทั้งนี้ การแข่งขันมีโอกาสที่จะรุนแรงมากยิ่งขึ้นในสภาวะที่ตลาดตกต่ำ บริษัทจึงมักมีอัตรากำไรที่ลดลงอย่างมากในช่วงที่อุปสงค์ชะลอตัวลง

– การระบาดของโรคโควิด 19 ทำให้ผลการดำเนินงานอ่อนแอ ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2564 ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) สายพันธุ์ใหม่ ๆ ทั้งนี้ การที่รัฐบาลได้นำมาตรการปิดเมือง (Lockdown) กลับมาบังคับใช้อีกครั้งส่งผลทำให้ความคืบหน้าของโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ต้องล่าช้าออกไปอีก ในขณะที่ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทก็ได้รับแรงกดดันจากราคาเหล็กที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งส่งผลทำให้บริษัทมีรายได้และกำไรจากธุรกิจคอนกรีตผสมเสร็จและธุรกิจคอนกรีตสำเร็จรูปลงอย่างต่อเนื่องในปี 2564 อย่างไรก็ตาม รายได้และกำไรที่ลดลงก็ถูกลดทอนลงบางส่วนจากผลการดำเนินงานที่น่าพอใจของธุรกิจคอนกรีตมวลเบาเนื่องจากอุปสงค์บ้านเดี่ยวที่เพิ่มสูงขึ้น

โดยรวมแล้วบริษัทมีรายได้ลดลงเล็กน้อยที่ระดับ 3.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอยู่ที่ 2.36 พันล้านบาทในปี 2564 จาก 2.44 พันล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ อุปสงค์ของอุตสาหกรรมที่ซบเซาเมื่อผนวกกับราคาเหล็กที่พุ่งสูงขึ้นในปี 2564 ได้ส่งผลทำให้กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทลดลง 14.6% มาอยู่ที่ 260 ล้านบาทในปี 2564 จาก 304 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2563 ทั้งนี้ อัตรา EBITDA ต่อรายได้ (EBITDA Margin) ของบริษัทลดลงเหลือ 10.9% จาก 12.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

– คาดว่าผลการดำเนินงานจะปรับตัวดีขึ้นพร้อมด้วยสถานะทางการเงินที่เข้มแข็ง ทริสเรทติ้งเชื่อว่ากิจกรรมการก่อสร้างต่าง ๆ จะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นภายหลังจากสถานการณ์โรคโควิด 19 คลี่คลาย โดยภาครัฐน่าจะเร่งดำเนินการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะต่าง ๆ เพื่อเป็นมาตรการสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโต ทริสเรทติ้งคาดว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทมีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้นและมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้นโดยเห็นได้จากกลยุทธ์ที่จะเน้นไปที่ธุรกิจคอนกรีตสำเร็จรูปซึ่งมีอัตรากำไรที่สูงกว่าและมีการแข่งขันที่ต่ำกว่าธุรกิจคอนกรีตผสมเสร็จ ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกิจคอนกรีตมวลเบาและธุรกิจร้านค้าปลีกจะยังคงได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของกิจกรรมการก่อสร้างในภาคอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยต่อไป

ภายใต้ประมาณการพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่ารายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.4-2.5 พันล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2565-2567 โดยที่ EBITDA Margin จะอยู่ที่ระดับประมาณ 12%-13% หรือคิดเป็น EBITDA ในช่วงระหว่าง 290-320 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ สถานะทางการเงินของบริษัทมีแนวโน้มที่จะยังคงดีอยู่เนื่องจากภาระหนี้คงค้างของบริษัทยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยทริสเรทติ้งประมาณการว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินสุทธิของบริษัทจะอยู่ในระดับที่เกินกว่า 40% และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA จะอยู่ในระดับต่ำกว่า 2 เท่าในช่วงระยะเวลาประมาณการ

สภาพคล่องมีเพียงพอ ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องที่เพียงพอในช่วงเวลา 12 เดือนข้างหน้า โดยบริษัทมีเงินสดในมือและรายการเทียบเท่าเงินสดรวมจำนวน 168 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2564 ในขณะที่เงินทุนจากการดำเนินงานนั้นคาดว่าน่าจะอยู่ที่ระดับ 260 ล้านบาทในช่วงระยะ 12 เดือนข้างหน้า ในขณะที่ความต้องการในการใช้เงินทุนของบริษัทจะประกอบด้วยการชำระคืนเงินกู้ระยะยาวจำนวน 215 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายสำหรับการลงทุนต่าง ๆ จำนวน 160 ล้านบาท และเงินสำหรับการจ่ายปันผลอีกประมาณ 35 ล้านบาท

โครงสร้างหนี้

ณ สิ้นปี 2564 หนี้สินทางการเงินรวมของบริษัทซึ่งไม่รวมสัญญาเช่าการเงินมีจำนวนทั้งสิ้นจำนวน 569 ล้านบาท โดยหนี้ทั้งหมดนี้เป็นหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนซึ่งเป็นหนี้ที่มีหลักประกันของบริษัทเอง ดังนั้น อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมของบริษัทจึงอยู่ที่ระดับ 100%

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

– รายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ในช่วงระหว่าง 2.4-2.5 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2565-2567

– อัตรา EBITDA Margin จะอยู่ที่ระดับ 12%-13% ในระหว่างปี 2565-2567

– เงินลงทุนจะอยู่ที่จำนวน 160 ล้านบาทต่อปี

– อัตราการจ่ายเงินปันผลจะอยู่ที่ระดับ 60%

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นโดยภาระหนี้คงค้างจะลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดหลักได้และยังจะได้ประโยชน์จากการเร่งการลงทุนในพื้นที่โครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกอีกด้วย

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทมีผลกำไรที่สูงขึ้นและมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น กรณีดังกล่าวอาจเกิดขึ้นจากการที่บริษัทสามารถขยายส่วนแบ่งทางการตลาดได้อย่างมีนัยสำคัญหรือสามารถกระจายสินค้าเข้าสู่ตลาดใหม่ ๆ ได้ ในขณะเดียวกัน บริษัทยังจะต้องรักษาอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินสุทธิให้ได้เกินกว่า 40% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อ EBITDA ให้ต่ำกว่า 2 เท่าได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะบริหารสภาพคล่องให้รอบคอบมากยิ่งขึ้นเพื่อรับมือกับผลกระทบจากสภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยอีกด้วย

แรงกดดันต่ออันดับเครดิตจะเพิ่มสูงขึ้นหากผลการดำเนินงานและ/หรือระดับของกระแสเงินสดต่อภาระหนี้สินของบริษัทอ่อนตัวลงอย่างมีนัยสำคัญซึ่งอาจเป็นไปได้หากอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินสุทธิของบริษัทลดลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 10% หรืออัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อ EBITDA อยู่ในระดับสูงเกินกว่า 5 เท่าอย่างต่อเนื่อง

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 มี.ค. 65)

Tags: , , ,
Back to Top