นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข กล่าวชี้แจงต่อที่ประชุมสภาฯ ถึงการบริหารงานด้านสาธารณสุขว่า มีหลายข้อมูลที่เป็นเรื่องเก่า เช่น เรื่องวัคซีนดีไม่ดี วัคซีนมาช้ามาเร็ว วิธีการฉีดวัคซีนต่างๆ ก็ขอให้เป็นเรื่องทางวิชาการ ซึ่งคณะกรรมการ หรือผู้ทรงคุณวุฒิทางการแพทย์ก็ได้ออกมาชี้แจงเป็นระยะให้ประชาชนรับรู้ข้อมูลอยู่แล้ว
“ขอยืนยันว่าสิ่งที่กล่าวหาว่าวัคซีนไม่ดี วัคซีนไร้ประสิทธิภาพนั้น ได้ชี้แจงไปแล้ว และเรื่องเหล่านี้ได้ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจมา 2 ครั้งแล้ว และสุดท้ายก็ได้รับคะแนนเสียงที่ไว้วางใจอย่างท่วมท้น เกิน 260 เสียง”
นายอนุทิน กล่าว
สำหรับหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางระบบสาธารณสุข คือ ไทยได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 5 ของโลก ที่มีความเข้มแข็งด้านระบบสาธารณสุข และไทยเป็นอันดับ 1 ด้านการตรวจจับโรคและรายงานที่รวดเร็ว ดังนั้น ไม่มีคำว่ารายงานเท็จ รายงานเอาใจประชาชน หรือรายงานด้วยตัวเลขที่ปราศจากข้อเท็จจริง ซึ่งการตรวจจับโรคที่รวดเร็ว ยังทำให้ สธ. สามารถวางแผนดำเนินการได้รวดเร็วไปด้วย ทั้งความพร้อมของเวชภัณฑ์ และวัคซีนที่ขณะนี้ฉีดไปเกิน 120 ล้านโดสแล้ว
“เราสามารถฉีดวัคซีนครอบคลุมบุคลากรด่านหน้า และกลุ่มเสี่ยงได้ทั้งหมด วัคซีนเต็มแขนจริงๆ และยังมีความพร้อมที่จะฉีดวัคซีนต่อไปจนกว่าโควิดจะหมดไป หรือกลายเป็นโรคปกติทั่วไป แต่ถึงแม้จะกลายเป็นโรคปกติทั่วไปแล้วก็ยังต้องฉีดวัคซีนเหมือนไข้หวัดใหญ่ที่ต้องฉีดทุกปี ต้องฉีดไปจนกว่าคนไทยจะหมดโควิด เรายังไม่สามารถบอกได้ว่าโควิดจะหมดลงเมื่อไร แต่ตราบใดที่มันยังคุกคาม เราก็มีอาวุธที่จะลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ”
นายอนุทิน กล่าว
อย่างไรก็ดี วัคซีนโควิดช่วยลดความเสี่ยงในการป่วยหนัก และเสียชีวิตได้ ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันแสดงให้เห็นแล้วว่าอัตราการเสียชีวิตอยู่ในระดับต่ำ มาจากวัคซีนทั้งสิ้น และผู้ที่เสียชีวิตในแต่ละวันมากกว่า 90% เป็นผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน หรือมีโรคประจำตัวอื่นๆ ซึ่ง สธ. ได้ขอความร่วมมือประชาชนกลุ่มนี้มารับวัคซีนให้ครบอยู่ตลอดเวลา
นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขยังต่อยอดนโยบายเดิม เพิ่มเติมนโยบายใหม่ ด้วยการดำเนินการที่ผ่านมานั้น ระบบต่างๆ เป็นระบบที่ดี เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค บัตรทอง หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นต้น
“สธ. ยุคนี้ไม่มีทางด้อยค่าการสาธารณสุขที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนคนไทย แต่จะนำระบบต่างๆ ที่มีมาต่อยอดให้เป็นประโยชน์เพิ่มมากขึ้น ทำให้สุขภาวะที่ดีของประชาชนมีมาตรฐานที่สูงขึ้น ทำให้ค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพน้อยมากที่สุด และทำให้ประชาชนไม่ล้มละลายจากการรักษาสุขภาพของตนเอง”
สำหรับสิ่งที่รัฐได้ดำเนินการไปแล้ว เช่น มะเร็งรักษาทุกที่ บัตรทองรักษาทุกโรงพยาบาล ทุกคนรักษาฟรี เป็น VIP ของทุกแห่ง ฟอกไตฟรี โดยโครงการที่กล่าวมาไม่ได้เป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น แต่ถ้าประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้มากขึ้นเท่าไร ประชาชนก็จะหายจากการเจ็บป่วย มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถสร้างรายได้จุนเจือตนเอง สร้างผลผลิต และไม่เป็นภาระของคนในครอบครัว
นายอนุทิน กล่าวถึงการฉีดวัคซีนในเด็กว่า สธ. ไม่เคยฉีดวัคซีนตามใจตนเอง สธ. มีบุคลากร ผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งล้วนมีความรู้ ความสามารถ มีข้อมูล มีการวิจัย ทดลอง ซึ่งบุคลากรเหล่านี้ต้องรับรองก่อน สธ. จึงจะอนุมัติการฉีดวัคซีนได้
“เราไม่เคยฉีดตามอำเภอใจ ทุกอย่างมี reference เราทำทุกอย่างตามมาตรฐานสากลทางการแพทย์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป ผลของการปฎิบัติในเรื่องการควบคุมโรค ป้องกันโรค โดยเฉพาะเรื่องโรคโควิด-19 ของ สธ. เป็นที่ประจักษ์ว่า ทุกวันนี้ สธ. มีความพร้อมที่จะยอมรับวิธีการทุกวิธี หากมีการระบาดมากเราสามารถควบคุม ป้องกัน เมื่อมีการเจ็บป่วย มีทรัพยากรทั้งบุคคลและทรัพย์สินที่จะให้การดูแลรักษาผู้ป่วย และมีการป้องกันโรคโดยการเตรียมวัคซีนที่มีมาตรฐานการผลิตที่เป็นมาตรฐานสากล มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลที่สูงมาฉีดให้ประชาชน ช่วงอายุถ้าลงไปได้ถึงช่วงอายุไหนก็พร้อมที่จะจัดหาวัคซีนนั้นๆ มาให้บริการแก่ประชาชน ถึงจุดหนึ่งความเสี่ยงทั้งหมดจะค่อยๆ ลดลง เพราะเราสามารถควบคุมช่วงอายุได้”
นายอนุทิน กล่าว
สำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน ช่วงนี้มีการติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ที่นำเชื้อกลับเข้าบ้าน คือ ลูกหลานที่ไปโรงเรียน ซึ่งพวกเขาต้องไปโรงเรียน เปลี่ยนวิถีชีวิตไม่ได้ แต่เมื่อพวกเขาได้รับวัคซีน ซึ่งรัฐได้จัดหามาให้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งในที่สุดแต่ละครอบครัวก็จะมีภูมิคุ้มกันที่เพียงพอ และเกิดความปลอดภัย
นายอนุทิน ยังได้กล่าวถึงกรณีที่ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ให้วัคซีนซิโนแวคสามารถฉีดในเด็กอายุ 3 ปีขึ้นได้ แต่ต่อมาประกาศให้ใช้ในเด็กอายุ 6 ปี ว่านี่คือมาตรฐาน เนื่องจากบริษัทวัคซีนซิโนแวคมาขอขึ้นทะเบียนฉีดให้เด็กอายุ 3 ปีขึ้นไป แต่มาตรฐานของ สธ. โดยสำนักงานอาหารและยา (อย.) เมื่อได้รับข้อมูลเอกสารการวิจัย ทดลองมาแล้ว ได้ประชุมร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งผู้ทรงคุณวุฒิขอให้ใช้ตั้งแต่ 6 ปีเป็นต้นไป ดังนั้น สธ. จึงต้องดำเนินการตามนั้น
“นี่คือบทพิสูจธ์ว่าเราใช้มาตรฐานในการกำกับ ถ้าจะให้เกิดความสบายใจกับประชาชน รมว.สธ.คงออกมาบอกว่าไม่เป็นไรหรอก ประเทศอื่นเขาทำมาแล้ว เราก็ทำไปเถอะ ไม่มีปัญหา แต่ทำไม่ได้ เพราะ การสาธารณสุขของประเทศไทยเข้มแข็ง และมั่นคงเกินกว่าใครคนใดคนหนึ่งจะไปขอการละเว้น หรือใช้อำนาจในการปฎิบัติสิ่งที่ผิดได้”
นายอนุทิน กล่าว
อย่างไรก็ดี หลังจากนี้ต่อไป สธ. จะทำทุกวิถีทางในการรับมือกับโรค ให้เกิดอันตรายต่อประชาชนน้อยที่สุด ซึ่งยังต้องต่อสู้ต่อไป เพราะยังอยู่ในโลกนี้ แต่ไทยเป็นประเทศที่มีการติดเชื้อน้อยกว่าประเทศอื่นๆ อีกมาก และมีมาตรการต่างๆ รองรับ นายอนุทิน กล่าวยืนยันว่าจะทำหน้าที่ต่อไปอย่างสุดความสามารถ ให้ความร่วมมือกับคณะรัฐมนตรีในการบริหารราชการแผ่นดิน บริหารประเทศนี้ต่อไป จนกว่าจะถึงวาระอันควร
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 ก.พ. 65)
Tags: กระทรวงสาธารณสุข, สุขภาพ