SPRC ขอโทษสังคมต่อเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหล ยันกลางสัปดาห์หน้าพร้อมเริ่มจ่ายชดเชย

นายโรเบิร์ต โจเซฟ โดบริค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (SPRC) เปิดแถลงข่าวขอโทษสังคมและแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์อุบัติเหตุน้ำมันดิบรั่วไหลบริเวณทุ่นผูกเรือน้ำลึกแบบทุ่นเดี่ยวกลางทะเล หรือจุดขนถ่ายน้ำมันในทะเล (SPM) ของ SPRC

นายโรเบิร์ต ระบุว่า ปริมาณน้ำมันดิบที่รั่วไหลเมื่อวันที่ 25 ม.ค.2565 ช่วงเวลา 21.06 น. รวมทั้งสิ้น 39 ตัน หรือ 47,000 ลิตร ทั้งนี้จะส่งผู้เชี่ยวชาญมาสืบสวนหาสาเหตุน้ำมันดิบรั่วในครั้งนี้ เพื่อให้ทราบสาเหตุที่แท้จริงและป้องกันการเกิดเหตุดังกล่าวอีกในอนาคต และจากการตรวจสอบ ล่าสุดเมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2565 ไม่พบคราบน้ำมันที่หาดแม่รำพึง,อ่าวพร้าว และเกาะเสม็ด แต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม SPRC ได้จัดตั้งศูนย์ร้องเรียน พร้อมสายด่วน 1567 เพื่อรับเรื่องร้องเรียนและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาวต่อเหตุการณ์ดังกล่าว พร้อมกันนี้จะร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากภาคนอกและภาครัฐ ประเมินผลกระทบ รวมทั้งส่งเสริมฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมต่อไป

นายจิระศักดิ์ มหาสุคนธ์ ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล SPRC กล่าวว่า SPRC จะพยายามจ่ายชดเชยผู้ได้รับผลกระทบอย่างเร็วที่สุด โดยคาดว่าจะเริ่มจ่ายชดเชยได้กลางสัปดาห์หน้าเป็นต้นไป นอกจากนี้จะร่วมกันภาครัฐและสมาคมท่องเที่ยวจังหวัดระยองสร้างความเชื่อมั่นการท่องเที่ยว โดยจะจัดกิจกรรมกินอาหารทะเลในเร็วๆนี้ต่อไป

นายพงษ์กรณ์ ช่อชูวงศ์ ผู้จัดการฝ่ายบริหารระบบความปลอดภัย คุณภาพสิ่งแวดล้อมและอาชีวอนามัย SPRC กล่าวว่า ชาวบ้านสามารถแจ้งสายด่วน 1567 หากพบคราบน้ำมันทางชายฝั่ง เพื่อให้ทีมงานเข้าไปเก็บตัวอย่างและตรวจสอบว่าเป็นคราบน้ำมันจากการรั่วไหลครั้งนี้หรือไม่

อย่างไรก็ตาม SPRC ยืนยันว่า มีความพร้อมในด้านอุปกรณ์สำหรับกำจัดคราบน้ำมัน ส่วนบริเวณที่เกิดการรั่วไหล เป็นบริเวณท่ออ่อนที่เชื่อมต่อระหว่างท่อโลหะใต้ทะเลกับทุ่นบนผิวน้ำ ซึ่งปกติ SPRC จะเปลี่ยนท่ออ่อนทุก 3 ปี ซึ่งท่อที่เกิดเหตุใช้งานมา 2 ปี 8 เดือน แต่เกิดการแตกขึ้นก่อน ดังนั้นจะต้องถอดท่อออกมาเพื่อตรวจสอบหาสาเหตุและป้องกันเหตุในอนาคตต่อไป ซึ่ง SPRC ไม่ต้องการให้เกิดเหตุดังกล่าวขึ้นอีก จึงต้องหาวิธีป้องกันให้รัดกุมขึ้น และต้องขอโทษและเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ด้วย

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 ก.พ. 65)

Tags: , , , , ,
Back to Top