นายสมนึก ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอ็น. ซี. เฮ้าส์ซิ่ง (NCH) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 65 ไว้ที่ 2.5 พันล้านบาท ทำสถิติสูงสุดใหม่ (New high) คาดว่าจะเติบโต 25% จากปีก่อน โดยที่บริษัทยังคงมั่นใจการโอนโครงการอย่างต่อเนื่องหลังจากลูกค้ายังคงเข้าซื้อโครงการแนวราบตามพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปจากสถานการณืโควิด-19 ซึ่งรายได้ส่วนหนึ่งจะมาจากการรับรู้ยอดขายรอโอน (Backlog) ที่มีอยู่ 700-800 ล้านบาทที่จะทยอยรับรู้ทั้งหมดเข้ามาใช่ช่วงครึ่งแรกของปีนี้
ขณะที่บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 4.6 พันล้านบาท สูงขึ้นจากปีก่อนที่ทำยอดขายได้กว่า 4.1 พันล้านบาท โดยวางแผนเปิด 5 โครงการใหม่ มูลค่า โครงการรวม 4.5 พันล้านบาท โดยจะเน้นโครงการประเภทบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดกว่า 70% หลังจากปีก่อนหน้าบริษัทได้เปิดโครงการทาวน์เฮาส์ไปมากแล้ว และในปีนี้จะเน้นทำเลกรุงเทพฯโซนเหนือ เช่น รังสิต และกรุงเทพฯตะวันตก เช่น ราชพฤกษ์ เป็นต้น
บริษัทจะกลับมาซื้อที่ดินใหม่เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ในปีนี้บางส่วน โดยเฉพาะทำเลกรุงเทพฯตะวันตก หลังจากที่ในปี 64 บริษัทไม่ได้ซื้อที่ดินเข้ามาเพิ่ม แต่หันมาใช้ที่ดินในพอร์ตในการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ทำให้ปีนี้ต้องกลับมาซื้อที่ดินเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก โดยวางงบซื้อที่ดินไว้ที่ 800-1,000 ล้านบาท ซึ่งจะใช้เงินทุนของบริษัทเป็นส่วนใหญ่
ขณะเดียวกันบริษัทจะยังมีการลงทุนเพิ่มอีก 200 ล้านบาทในการพัฒนาศูนย์ Wellness & Sport Center ภายใต้แบรนด์ NC Regen 2 แห่ง ในโครงการบ้านฟ้าปิยรมย์ วงแหวนลำมูกกา คลอง 6 พื้นที่ 5,328 ตารางเมตร และโครงการ Thanya Golf Club ลำลูกกา คลอง 5 พื้นที่ 1,015 ตารางเมตร ส่วนหนึ่งจะมาเสริมการให้บริการลูกบ้านในโครงการนั้นๆ รวมถึงเปิดรับสมาชิกจากบุคคลภายนอกเข้ามาใช้บริการด้วย ซึ่งจะเข้ามาช่วยสร้างรายได้จากการบริการเข้ามาเสริมให้กับบริษัท
นายสมนึก กล่าวว่า ในช่วงเดือน ม.ค. 65 ที่ผ่านมาบริษัทสามารถทำยอดขายได้ 400 ล้านบาท สะท้อนความต้องการซื้อบ้านที่ยังมีอย่างต่อเนื่องแม้จะมีสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน เนื่องจากลูกค้าเริ่มมีความมั่นใจแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปีนี้ที่คาดว่าจะเริ่มกลับมาฟื้นตัว ซึ่งจะทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 65 กลับมาฟื้นตัวได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม บริษัทมองว่าในปีนี้การแข่งขันของผู้ประกอบการในตลาดจะรุนแรงมากขึ้น หลังจากซัพพลายรวมในตลาดหายไปค่อนข้างมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ในปีนี้จะเห็นว่าผู้ประกอบการหลายรายกลับมาเปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก และมีการแข่งขันรุนแรงมากขึ้นเพื่อสร้างโอกาสในช่วงที่ตลาดกำลังฟื้นตัว โดยบริษัทยังมีบ้านในสต็อกที่พร้อมขายและโอนให้กับลูกค้าได้ทันทีมูลค่ารวมกว่า 400-500 ล้านบาท
ส่วนกระแสการรับชำระเงินซื้อบ้านด้วยคริปโทเคอร์เรนซีนั้น นายสมนึก กล่าวว่า บริษัทยังไม่มีแผนการเปิดรับชำระด้วยคริปโทเคอร์เรนซี เนื่องจากบริษัทมองว่าสกุลเงินดิจิทัลยังมีความผันผวนมาก และมีความเสี่ยงจากกฎระเบียบของหน่วยงานที่กำกับดูแล อีกทั้งขณะนี้ยังไม่ได้รับความนิยมนมาใช้ซื้อสินค้าและบริการจริงมากนัก ลูกค้าส่วนใหญ่ที่ซื้อบ้านยังพึ่งพาเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินเป็นหลัก
สำหรับธุรกิจด้าน Wellness ของบริษัทในปัจจุบันที่เปิดให้บริการโครงการศิริอรุณ ปัจจุบันมีอยู่ 3 แห่ง ในกรุงเทพฯ 2 แห่ง และอุบลราชธานี 1 แห่ง รายได้ยังเข้ามาไม่มากนัก เนื่องจากเผชิญกับการสถานารณ์โควิด-19 ทำให้กลุ่มลูกค้าชะลอการเข้ามาใช้บริการ และบริษัทยังไม่สามารถทำการตลาดได้อย่างเต็มที่ ทำให้ทำรายได้ในช่วงที่ผ่านมาเพียง 10 ล้านบาท และยังไม่มีแผนการขยายสาขาเพิ่มในช่วงนี้ ซึ่งบริษัทยังคงรอดูทิศทางของการกลับมาเปิดประเทศและการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่จะเป็นปัจจัยหนุนการกลับมาใช้บริการของลูกค้า
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทจะทำการตลาดโครงการศิริอรุณมากขึ้น เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้ากลับเข้ามาใช้บริการ รวมถึงการทำการตลาดควบคู่ไปกับแบรนด์ NC Regen ที่เป็นศูนย์สุขภาพด้านกีฬาที่แตกแบรนด์ออกมาเสริมตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการออกกำลังกาย โดยที่บริษัทคาดว่าในช่วง 3 ปีจากนี้ สัดส่วนรายได้ประจำ (Recurring Income) จะเพิ่มขึ้นมาเป็น 5-10% ของรายได้รวม จากปัจจุบันที่มีอยู่น้อยมาก
นายสมนึก เปิดเผยอีกว่า ในปี 65 บริษัทยังอยู่ระหว่างการพิจารณาออกหุ้นกู้เพิ่มเติม หลังจากอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นในไม่ช้า ทำให้บริษัทอาจจะต้องล็อกอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำไว้ โดยที่ในปีที่ผ่านมาบริษัทได้มีการออกหุ้นกู้ไปแล้วราว 300 ล้านบาท
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 ก.พ. 65)
Tags: NCH, ก่อสร้าง, สมนึก ตันฑเทอดธรรม, หุ้นไทย, อสังหาริมทรัพย์, เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง