นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ตามที่กรมสรรพากร ได้เปิดรับฟังมุมมอง ความคิดเห็น และข้อเสนอแนะ จากทั้งหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ประกอบด้วย สมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย สมาคมการค้าผู้ประกอบการธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลไทย สมาคมฟินเทคประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญ นักลงทุน เพื่อให้ได้แนวทางการจัดเก็บภาษีสินทรัพย์ดิจิทัลที่เหมาะสมกับบริบทในปัจจุบัน ทั้งยังร่วมกันเสนอแนวคิดและมุมมองที่เป็นประโยชน์ต่อภาครัฐและเอกชนในการร่วมกันดำเนินการส่งเสริมอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลไทยในอนาคต นั้น
กรมสรรพากร จะได้ดำเนินการนำเสนอเพื่อให้มีการปรับเปลี่ยนในบางประเด็น เพื่อรองรับกับรูปแบบธุรกรรมใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น สำหรับการกำหนดรูปแบบของภาษีเงินได้ภายใต้กฎหมายปัจจุบัน กรมสรรพากร ได้มีแนวทางดังนี้
- การจัดเงินได้ให้ชัดเจน โดยระบุประเภทเงินได้และผลประโยชน์ให้ครอบคลุมกำไร/ รายได้จากการโอน/ ผลประโยชน์อันใดจากสินทรัพย์ดิจิทัล
- วิธีการคำนวณต้นทุนโดยใช้วิธีมาตรฐานการบัญชีรับรอง โดยสามารถทำได้ 2 วิธี คือ วิธีเข้าก่อนออกก่อน (FIFO) หรือวิธีต้นทุนถัวเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average Cost) โดยสามารถเปลี่ยนวิธีคำนวณในปีถัดไปได้
- การวัดมูลค่าสินทรัยพ์ดิจิทัล ณ เวลาที่ได้มา หรือราคาถัวเฉลี่ยในวันที่ได้มา
ทั้งนี้ รายละเอียดต่างๆ จะมีอยู่ในคู่มือการชำระภาษีของผู้มีเงินได้จากการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งทางกรมสรรพากรกำลังพิจารณาร่วมกับ สมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย และสมาคมการค้าผู้ประกอบการธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลไทย และจะดำเนินการเผยแพร่ในวันที่ 31 มกราคม 2565
อย่างไรก็ดี กรมสรรพากรได้มีแนวทางในการดำเนินการผ่อนปรนหลายประการ ภายใต้กฎหมายปัจจุบัน และยังอยู่ภายในขอบเขตอำนาจหน้าที่ของกรมสรรพากรที่สามารถดำเนินการได้ โดยแบ่งออกเป็นในเรื่องของภาษีเงินได้ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามรายละเอียด ดังนี้
- การคำนวณภาษีเงินได้พึงประเมิน (กำไร) นั้น กรมสรรพากรจะเสนอให้มีการออกกฎกระทรวง เพื่อให้สามารถนำผลขาดทุนมาหักกลบกับกำไรได้ในปีภาษีเดียวกัน ซึ่งจะสามารถเข้าเงื่อนไขนี้เฉพาะผู้ประกอบธุรกิจ หรือ Exchange ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เท่านั้น
- การหักภาษีหัก ณ ที่จ่ายนั้น กรณีธุรกรรมที่กระทำผ่าน Exchange ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จะไม่สามารถระบุตัวตนผู้รับเงิน และไม่ทราบจำนวนเงินได้ที่ต้องหัก ณ ที่จ่าย ทำให้ไม่ครบองค์ประกอบการหักภาษี ณ ที่จ่าย จึงไม่จำเป็นต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้แต่อย่างใด
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรมสรรพากรจะเสนอพระราชกฤษฎีกาให้ยกเว้น VAT สำหรับธุรกรรมที่กระทำผ่านผู้ประกอบธุรกิจ หรือ Exchange ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
นายเอกนิติ กล่าวว่า กรมสรรพากร จะพิจารณาหารือร่วมกับชุมชนสินทรัพย์ดิจิทัล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อศึกษาความเป็นไปได้เชิงนโยบายในอนาคต เพื่อแก้ไขกฎหมายที่จำเป็นและเหมาะสม อาทิ การแก้ประมวลรัษฎากร มาตรา 50 ที่เกี่ยวกับภาษีหัก ณ ที่จ่าย โดยให้ผ่านผู้ประกอบธุรกิจ หรือ Exchange เป็นผู้หัก และนำส่งกรมสรรพากร การเปลี่ยนประเภทการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีธุรกิจเฉพาะ (Financial Transaction Tax) สำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีลักษณะเป็นหลักทรัพย์ เป็นต้น ทั้งนี้ต้องดูความเหมาะสมและบริบทต่าง ๆ โดยรอบอีกครั้ง
“การทำงานร่วมกับชุมชนธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ทั้งภาครัฐและเอกชน ทำให้กรมสรรพากรได้มีโอกาสรับฟังความคิดเห็น และนำผลของข้อมูลต่างๆ มาพิจารณาการบริหารการจัดเก็บภาษีที่ตอบสนองต่อความต้องการของทุกภาคส่วน ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการร่วมกันที่จะทำให้กฎหมายภาษีอากรไม่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลไทย และยังคงรักษาหลักการจัดเก็บภาษีอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม โดยยึดถือประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ” อธิบดีกรมสรรพากร ระบุ
อนึ่งการจัดส่งส่งแบบสอบถามให้ทุกฝ่ายที่อยู่ในชุมชนสินทรัพย์ดิจิทัลไทยในเรื่องการจัดเก็บภาษีจากสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น มีผู้ร่วมตอบแบบสอบถามกว่า 3,00 ราย โดย 82% เป็นผู้มีเงินได้จากธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่มีเงินได้จากการขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ซื้อมาเพื่อเก็งกำไร โดยเกือบ 90% ทราบมูลค่าของสินทรัพย์ดิจิทัลของตนเองอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ดี การประกอบธุรกิจและการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วมาก โดยเฉพาะในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นจาก 240 ล้านบาท เป็น 4,839 ล้านบาท มูลค่าทรัพย์สินของลูกค้าเพิ่มขึ้นจาก 9,600 ล้านบาท เป็น 114,539 ล้านบาท และมีจำนวนบัญชีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นจาก 1.7 แสนราย เป็น 1.98 ล้านราย รวมถึงวิวัฒนาการเทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ และรูปแบบการทำธุรกรรมต่างๆ มีความหลากหลายและปรับเปลี่ยนรวดเร็วมากตลอดเวลา
ทั้งนี้ กรมสรรพากร ระบุว่า ดำเนินการต่างๆ ยึดแนวทางการถือเอาผู้เสียภาษีเป็นศูนย์กลาง (Taxpayer – Centric)
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 ม.ค. 65)
Tags: Crypto Focus, Cryptocurrency, กรมสรรพากร, คริปโทเคอร์เรนซี, ภาษีคริปโท, เก็บภาษี, เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ