คณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดนกำลังติดตามสถานการณ์จากภาคธุรกิจต่าง ๆ ที่ดำเนินกิจการในจีนอย่างใกล้ชิด เพื่อพิจารณาว่าการระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนนั้นสร้างความเสี่ยงต่อห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐหรือไม่
เจ้าหน้าที่ของสหรัฐระบุว่า ยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโอมิครอนในจีน หรือมาตรการควบคุมโรคเชิงรุกที่จีนใช้หรือไม่ โดยจีนยังคงดำเนินนโยบายความอดทนต่อโควิด-19 เป็นศูนย์ หรือ Zero-COVID ด้วยการใช้มาตรการล็อกดาวน์ทั้งเมืองเพื่อยับยั้งการระบาด
ส่วนเมื่อวันพุธที่ผ่านมา จีนพบผู้ติดเชื้อในประเทศเพิ่มอีก 66 ราย ลดลงจาก 163 รายเมื่อวันที่ 16 ม.ค. ซึ่งเป็นยอดผู้ติดเชื้อรายวันที่พบมากที่สุดในช่วงที่ไวรัสโอมิครอนระบาด
ทั้งนี้ ปธน.ไบเดนและคณะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายตรงข้ามว่า ดำเนินการล่าช้าในการแก้ไขภาวะชะงักงันในระบบห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งได้รับผลกระทบจากโรคระบาด ส่งผลให้ภาวะเงินเฟ้อพุ่งสูงสุดในรอบ 40 ปี รวมถึงการระบาดของไวรัสโอมิครอนในสหรัฐ จนทำให้ยอดผู้ติดเชื้อและเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลสูงเป็นประวัติการณ์
ทางด้านสถานทูตสหรัฐในจีนได้อ้างถ้อยแถลงของปธน.สี จิ้นผิงเมื่อต้นเดือนนี้ ซึ่งเรียกร้องให้ดำเนินการอย่างเป็นลำดับขั้น เพื่อให้เอื้อต่อการค้าข้ามพรมแดน รักษาเสถียรภาพและความคล่องตัวในห่วงโซ่อุปทานและห่วงโซ่อุตสาหกรรม และเพื่อให้เศรษฐกิจโลกยังคงฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ขณะที่นายจ้าว ลี่เจียน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนกล่าวถึงขั้นตอนการรับมือโรคระบาดของจีนว่าเป็น “มาตรการป้องกันโรคระบาดที่ได้ผล”
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ม.ค. 65)
Tags: จีน, สหรัฐ, สี จิ้นผิง, ห่วงโซ่อุปทาน, โควิด-19, โจ ไบเดน, โอมิครอน