ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนได้เรียกร้องให้ประชาคมโลกปกป้องห่วงโซ่อุปทาน และป้องกันภาวะตื่นตระหนกด้านเงินเฟ้อในระหว่างที่เขาพยายามเสาะหาแนวทางอันราบรื่นในการกุมอำนาจผู้นำประเทศต่อเป็นสมัยที่ 3 ซึ่งท้าทายธรรมเนียมปฏิบัติที่ยึดถือกันมายาวนาน
“เราจำเป็นต้องแก้ไขความเสี่ยงหลากหลายประการและส่งเสริมให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพ” ปธน.สีกล่าวในการประชุมเวิลด์ อิโคโนมิก ฟอรั่ม (WEF) ผ่านทางวิดีโอลิงก์ในวันจันทร์ (17 ม.ค.) ซึ่งเป็นครั้งที่ 3 แล้วที่เขากล่าวสุนทรพจน์ที่งานดังกล่าว
“อุตสาหกรรมและห่วงโซ่อุปทานโลกเผชิญภาวะชะงักงัน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอุปทานพลังงานยังคงตึงตัว ความเสี่ยงเหล่านี้เพิ่มความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ”
ภาวะวิกฤตด้านพลังงานในคาซัคสถาน ซึ่งเป็นประเทศที่มีพรมแดนติดกับจีน ได้นำไปสู่การขอกำลังทหารสนับสนุนจากรัสเซียเพื่อช่วยยับยั้งเหตุลุกฮือของประชาชนในช่วงต้นเดือนนี้ จนทำให้ความเสี่ยงด้านห่วงโซ่อุปทานมาจ่อยังประตูหลังของจีน
นอกจากนี้ ปธน.สียังเตือนเกี่ยวกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อทั่วโลกและผลกระทบของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
“หากเศรษฐกิจสำคัญของโลกระงับหรือเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงิน จะก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงในวงกว้าง โดยจะสร้างความท้าทายให้กับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินโลก และประเทศกำลังพัฒนาจะเป็นผู้ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง” ปธน.สี กล่าว
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ในฟากฝั่งของเศรษฐกิจจีนซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกนั้น ปธน.สีไม่ได้แสดงความวิตกกังวลแต่อย่างใด หลังข้อมูลในวันจันทร์แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจชะลอการเติบโตลงสู่ 4% ในไตรมาส 4/2564 ซึ่งเป็นอัตราอ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี 2562
“ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจจีนไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงยืดหยุ่น มีศักยภาพเพียงพอ และแนวโน้มในระยะยาวอยู่ในทิศทางบวก” ปธน.สีกล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 ม.ค. 65)
Tags: จีน, สี จิ้นผิง, ห่วงโซ่อุปททาน