นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ.ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ (LALIN) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายในปี 65 ที่ 8.5 พันล้านบาท จากปี 64 ที่ทำยอดขายได้ 7.8 พันล้านบาท โดยวางแผนเปิดโครงการแนวราบใหม่ 10-12 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 7-8 พันล้านบาท ส่วนใหญ่ยังคงเป็นทำเลกรุงเทพฯและปริมณฑล 90% ส่วนอีก 10% จะเปิดโครงการในต่างจังหวัด เน้นไปที่ภาคตะวันออก
โครงการใหม่ของบริษัทที่จะเปิดตัวในปีนี้ยังคงให้ความสำคัญกับตลาด Real Demand ที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง และเป็นบ้านที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคในยุค New Normal ด้วยพื้นที่สีเขียวเพื่อผ่อนคลาย และมีพื้นที่ใช้สอยตอบสนองความต้องการในหลากหลายรูปแบบทั้งการ Work from Home และการเรียนผ่านระบบออนไลน์
ขณะที่ด้านการตลาดบริษัทจะต่อยอดการใช้กลยุทธ์ด้าน Digital Marketing เพิ่มขึ้น เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้อย่างมีศักยภาพและตรงตามไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน โดยนำ Big Data มาใช้ในการวิเคราะห์เกี่ยวกับ Customer Insight เพื่อนำเสนอรูปแบบผลิตภัณฑ์และการบริการที่เข้าถึง ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำ รวมไปถึงการยกระดับการบริหารจัดการระบบสารสนเทศภายในองค์กร โดยนำระบบเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารงานในทุกภาคส่วนในองค์กรสู่ Digital Company อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น และช่วยสร้างยอดขายให้กับบริษัทได้เพิ่มขึ้นด้วย
ส่วนเป้าหมายรายได้ในปี 65 วางไว้ที่ 7.2 พันล้านบาท เติบโต 10% จากปีก่อน โดยในปีนี้บริษัทจะมีการรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) เข้ามาทั้งหมดราว 1.1-1.2 พันล้านบาท พร้อมวางงบซื้อที่ดินราว 1.1-1.3 พันล้านบาท รองรับการซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาในปีนี้และปีต่อไป
สำหรับภาพรวมสถานะด้านการเงินของบริษัทถือว่ามีความแข็งแกร่งอย่างมาก โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) เพียง 0.6 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ 1.4-1.5 เท่า รวมทั้งมีกระแสเงินสดสำรองเพื่อรองรับการขยายธุรกิจอีกกว่า 1 พันล้านบาท
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร LALIN กล่าวว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 65 ถือว่าเป็นอีกหนึ่งปีที่มีความท้าทายจากการที่การแพร่ระบาดโควิด-19 ยังคงมีการแพร่ระบาดต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี แต่มองว่าเป็นปัจจัยที่สามารถควบคุมได้ ทำให้ผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจไม่มากนัก มองว่าในปีนี้ที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวมมีโอกาสกลับมาฟื้นตัวได้ค่อนดีราว 10% จากปี 64 โดยมาจากการฟื้นตัวของตลาดแนวราบแลตลาดคอนโดมิเนียม
ประกอบกับภาพรวมของเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะขยายตัวได้ราว 3-4% และปัจจัยหนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการต่ออายุมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอน และค่าธรรมเนียมจำนองสำหรับที่อยู่อาศัยที่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทออกไปจนถึงสิ้นปี 65 และการผ่อนปรนเกณฑ์ LTV
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มเงินเฟ้อที่สูงขึ้นยังเป็นปัจจัยที่ท้ายทายให้กับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากต้นทุนต่างๆในการก่อสร้างโครงการปรับเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ต้องเน้นการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อทำให้ยังมีคามสามารถในการทำกำไรในระดับที่ดี และไม่กระทบต่อราคาขายโครงการให้ต้องปรับเพิ่มสูงขึ้นมาก เพราะอาจส่งผลกระทบต่อการซื้อให้ชะลอลงได้ โดยปัจจุบันประชาชนยังคงได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่ชะลอตัวและรายได้ที่ยังไม่กลับมาเหมือนในช่วงก่อนโควิด-19 อีกทั้งยังมีภาระหนี้สินครัวเรือนค่อนข้างมากอยู่แล้ว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 ม.ค. 65)
Tags: LALIN, ชูรัชฏ์ ชาครกุล, ลลิล พร็อพเพอร์ตี้, หุ้นไทย, อสังหาริมทรัพย์