นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ เปิดเผยว่า ภาพเศรษฐกิจและการลงทุนของตลาดหุ้นไทยในปีนี้ มองว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น โดยมีมาตรการกระตุ้นและเยียวยาเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมถึงการกระจายวัคซีนโควิด-19 อย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น โดยปัจจุบันประชากรไทยที่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มอยู่ที่ประมาณ 65% โดยยังไม่นับรวมประชากรที่รับเข็ม Booster เข็มที่ 3 นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่ประชาชนสามารถกลับมาใช้จ่ายได้เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ข้อมูลการศึกษาของต่างประเทศบ่งชี้ไปในทางเดียวกันว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนครบโดสหากติดเชื้อฯ จะมีความเสี่ยงน้อยกว่าผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน ทำให้มองว่าโอกาสที่รัฐบาลจะกลับไป Lock down อีกครั้ง มีน้อย ซึ่งเป็นผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มกลับมาขยายตัวที่ประมาณ 3%-5% ในปี 65 และคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) จะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ตลอดปี
“ปัจจัยหลักที่ยังให้น้ำหนักเพื่อติดตาม เพราะยังส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและการลงทุน คือ ตัวเลขแนวโน้มเงินเฟ้อในต่างประเทศ เนื่องจากจะส่งผลต่อการตัดสินใจนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลก และส่งผลต่อกระแสเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งถ้าธนาคารกลางประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ ยุโรป ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าตลาดคาดการณ์ บลจ.วรรณ มองว่าจะกระทบต่อบรรยากาศตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ในทางกลับกัน ถ้าเฟดทยอยปรับขึ้น 3 ครั้งในปีนี้ ตาม dot plot ที่เปิดเผยออกมาในการประชุมเดือนธันวาคมที่ผ่านมาซึ่งตลาดตอบรับประเด็นดังกล่าวไปพอสมควร เรามองว่าทิศทงการเคลื่อนไหวของดัชนีจะอยู่ลักษณะ Sideway up”
นายพจน์ กล่าว
อย่างไรก็ดี ปัจจัยเรื่องราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ยังคงเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากหุ้นกลุ่มพลังงาน มีสัดส่วนสูงในดัชนีตลาดหุ้นไทย โดยทิศทางราคาน้ำมันยังคงเกี่ยวข้องกับ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เพราะกระทบต่อปริมาณความต้องการใช้น้ำมัน และส่งผลต่อการพิจารณาปรับกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC และ Non-OPEC ในระยะถัดจากนี้
นายพจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดหุ้นไทยในปี 65 จะยังคงอยู่ในภาวะผันผวน แต่มี downside risk ค่อนข้างจำกัด ขณะที่ upside ยังขึ้นอยู่กับความยั่งยืนในการเปิดเมือง และความเชื่อมั่นของภาคเอกชน ขณะที่ Valuation ของหุ้นไทยที่ค่อนข้างตึงตัวจากคาดการณ์ Forward PE ในปี 65 อยู่ที่ประมาณ 17 เท่า ค่อนข้างสูงกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาคที่ประมาณ 14.38 เท่า แต่อัตราการจ่ายเงินปันผลยังอยู่ในระดับที่ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 2.72% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของภูมิภาค 2.60%
ดังนั้น ในภาพรวมบลจ.วรรณ มองเป้าหมายดัชนี SET Index ในปี 65 อยู่ที่ 1,770 จุด (คาด EPS เพิ่มขึ้นประมาณ 10.7% จากปี 2564) ภายใต้สมมติฐานจากปัจจัยต่างประเทศ คาดเศรษฐกิจโลกขยายตัวต่อเนื่องประมาณ 4-5% ขณะที่เงินเฟ้อเริ่มชะลอตัวลงธนาคารกลางสำคัญปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินแบบค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่ปัจจัยในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% ถึงสิ้นปี 65 นี้ ด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ยังคงเป็นการระบาดในวงจำกัดและไม่รุนแรง โดยประชากรมากกว่า 50% ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น และไวรัสสายพันธุ์ใหม่ไม่ลดประสิทธิผลของวัคซีน
ด้านการลงทุนยังคงแนะนำลงทุนในบริษัทจดทะเบียนที่มีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ และหุ้นที่มีแนวโน้มได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ สำหรับกองทุนที่อยู่ภายใต้การบริหารของบลจ.วรรณ บริษัทแนะนำกองทุนเปิด วรรณ เซ็ท ไฮ ดิวิเดนด์ หุ้นทุน (ONE-SETHD) กองทุนจะพิจารณาเลือกลงทุนในหุ้นที่อยู่ในดัชนี SET High Dividend 30 Total Return Index เป็นหลัก กองทุนฯมีจุดมุ่งหมายเพื่อชนะดัชนีชี้วัดบางช่วงเวลา (Active Management) โดยมีนโยบายจ่ายเงินปันผลจากกำไรสะสมให้ผู้ถือหน่วยไม่เกิน 4 ครั้งต่อปี
นอกจากนี้ บริษัทประสบความสำเร็จในการบริหาร กองทุนเปิด วรรณ ท็อป ซีเล็คชั่น 5MA (ONE-TOP5MA) เข้าเงื่อนไขเลิกกองทุน คือ มูลค่าหน่วยลงทุนมากกว่า 10.53 บาท และสามารถรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติได้ไม่ต่ำกว่า 10.50 บาท ทั้งนี้ บริษัทได้ดำเนินการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติในวันที่ 4 มกราคม 2565 ที่มูลค่าหน่วยลงทุนละ 10.5586 บาท และจะดำเนินการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติไปซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนเปิดวรรณเดลี่ หน่วยลงทุนชนิดสะสมมูลค่า สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป (1AM-DAILY-RA) ให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนทุกราย
ทั้งนี้ ผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถทำรายการขายคืนหรือสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจากกองทุน 1AM-DAILY-RA ได้ ตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2565 เป็นต้นไป
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 ม.ค. 65)
Tags: SET Index, กองทุนเปิด, ตลาดหุ้นไทย, บลจ.วรรณ, พจน์ หะริณสุต