ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐเปิดเผยว่า อัตราเด็กเกิดใหม่ในสหรัฐร่วงลง 8% ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นเวลา 9 เดือนหลังจากที่สหรัฐประกาศภาวะฉุกเฉินเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
รายงานของ CDC ระบุว่า ตัวเลขที่ร่วงลงอย่างหนักในเดือนธ.ค.ทำให้อัตราการเกิดช่วงครึ่งหลังของปี 2563 ลดฮวบลง โดยตลอดทั้งปีที่ผ่านมา จำนวนทารกที่เกิดในสหรัฐ ลดลง 4% แตะที่ราว 3.6 ล้านคน ซึ่งลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2516
ข้อมูลล่าสุดนี้ถือเป็นหลักฐานเบื้องต้นของผลพวงจากวิกฤตสุขภาพต่ออัตราการเกิด โดยคาดว่าข้อมูลในปี 2564 จะแสดงถึงผลกระทบที่ชัดเจนขึ้น
นายเคนเน็ต จอห์นสัน นักประชากรศาสตร์อาวุโสของ Carsey School of Public Policy และศาสตราจารย์ด้านสังคมวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยนิวแฮมป์เชียร์กล่าวว่า “ในปี 2562 มี 5 รัฐในสหรัฐที่มีอัตราการเสียชีวิตมากกว่าอัตราการเกิด ซึ่งสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐในช่วงเวลานั้น ขณะที่ในปี 2563 มี 25 รัฐที่มีอัตราการเสียชีวิตมากกว่าอัตราการเกิด โดยในช่วงต้นปี 2564 อัตราการเกิดก็ยังคงลดลงอีก”
ข้อมูลระบุว่า โดยทั่วไปแล้ว อัตราการเกิดลดลงต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ (Great Depression) โดยชาวอเมริกันมักจะตัดสินใจแต่งงานล่าช้า และหลีกเลี่ยงการมีบุตร ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวทวีความชัดเจนมากขึ้นในช่วงการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 เนื่องจากประชาชนกลัวการไปโรงพยาบาล และขาดการสนับสนุนจากครอบครัวเนื่องจากเผชิญกับข้อจำกัดในการล็อกดาวน์
นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในการดูแลบุตรก็ดีดตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นการซ้ำเติมงบประมาณที่มีกำจัดอยู่แล้ว เนื่องจากชาวอเมริกันหลายล้านคนยังคงตกงาน
ขณะที่มีชาวอเมริกันมากกว่าครึ่งล้านคนที่เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 นั้น อัตราการเกิดที่ลดลงจะส่งผลกระทบในระยะยาวต่อการขยายตัวของประชากร
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 มิ.ย. 64)
Tags: CDC, COVID-19, ชาวอเมริกัน, ประกาศภาวะฉุกเฉิน, ประชากร, ล็อกดาวน์, ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค, สหรัฐ, อัตราการเกิด, เคนเน็ต จอห์นสัน, โควิด-19