หน่วยงานด้านสาธารณสุขของอังกฤษเปิดเผยว่า พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่จำนวน 9,284 ราย ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (20 มิ.ย.) ส่งผลให้ยอดรวมผู้ติดเชื้อภายในประเทศพุ่งขึ้นเป็น 4,630,040 ราย และพบผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 6 ราย ส่งผลให้ยอดรวมผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 127,976 ราย
คณะนักวิทยาศาสตร์ของอังกฤษเตือนว่า อังกฤษอาจเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากในช่วงฤดูหนาว เพราะอาจมีไวรัสสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นอีก และมีแนวโน้มว่าทางรัฐบาลอาจจะขยายเวลาการใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด
นอกจากนี้ คณะนักวิทยาศาสตร์ของอังกฤษยังเตือนว่า อังกฤษอาจเผชิญกับการแพร่ระบาดรอบที่ 3 เนื่องจากพบการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์เดลตาซึ่งพบครั้งแรกในอินเดีย
ก่อนหน้านี้ สำนักงานสาธารณสุขอังกฤษ (PHE) ระบุว่า หากประชาชนได้รับวัคซีนจากบริษัทไฟเซอร์ อิงค์ และแอสตร้าเซนเนก้าครบทั้ง 2 โดสแล้ว จะสามารถลดโอกาสของอาการป่วยหนักจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์เดลตา ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่า รัฐบาลควรเร่งฉีดวัคซีนให้กับประชาชนให้ครบทั้ง 2 โดสโดยเร็วที่สุด
PHE เปิดเผยผลการวิเคราะห์ซึ่งระบุว่า วัคซีนของไฟเซอร์-บิออนเทค มีประสิทธิภาพในการป้องกันอาการป่วยหนักได้ถึง 96% หลังจากได้รับวัคซีนครบทั้ง 2 โดสแล้ว ขณะที่วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าและมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดมีประสิทธิภาพ 92% อีกทั้งยังสามารถป้องกันโควิด-19 สายพันธุ์อัลฟาซึ่งพบครั้งแรกในอังกฤษได้ดีเช่นเดียวกัน
แมรี แรมซีย์ หัวหน้าฝ่ายภูมิคุ้มกันโรคของ PHE กล่าวว่า วัคซีนถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดในการต่อสู้กับโควิด-19 ฉะนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่ประชาชนจะต้องได้รับวัคซีนครบทั้ง 2 โดสโดยเร็วที่สุด เพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันสูงสุดต่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดิม ตลอดจนสายพันธุ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 มิ.ย. 64)
Tags: AstraZeneca, COVID-19, Pfizer, อังกฤษ, แมรี แรมซีย์, แอสตร้าเซนเนก้า, โควิด-19, โควิดสายพันธุ์อัลฟา, โควิดสายพันธุ์เดลตา, โควิดสายพันธุ์ใหม่, ไฟเซอร์-บิออนเทค