นางสาวเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) เปิดเผยว่า แนวโน้รายได้ของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะดีกว่าครึ่งปีหลัง เพราะในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะมีการโอนคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จใหม่ค่อนข้างมาก โดยที่จะมีการโอนคอนโดมิเนียมในยอดขายรอโอน (Backlog) เข้ามาในครึ่งปีหลังราว 5 พันล้านบาท จาก Backlog ทั้งหมดที่มีกว่า 8 พันล้านบาท จึงมั่นใจว่ารายได้ในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1 หมื่นล้านบาท
ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทมองว่าภาพรวมของการซื้อที่อยู่อาศัยจะทยอยฟื้นตัวขึ้น จากความมั่นใจของผู้บริโภคที่เริ่มกลับมา หลังจากมีการฉีดวัคซีนโควิด-19 มากขึ้น และแนวโน้มการแพร่ระบาดโควิด-19 น่าจะเริ่มทยอยคลี่คลายลง ทำให้การใช้ชีวิต และการทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆเริ่มกลับมามากขึ้น แม้ว่าจะยังมีปัจจัยกดดันจากการระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยของคนอยู่บ้าง จากเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นกลับมาดีขึ้นชัดเจนก็ตาม ซึ่งถือเป็นโจทย์ยากในการกระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภคท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
“สิ่งที่บริษัทต้องทำ คือ การปรับตัวให้เร็วและให้ทันในทุกด้าน พร้อมกับมองหากลยุทธ์และตลาดใหม่ๆ เข้ามาปรับใช้ โดยที่เป้าหมายสำคัญไม่ใช่แค่การประคองตัวให้รอดในยุคนี้ แต่ยังต้องสร้างการเติบโตครั้งใหม่ให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคในปัจจุบันด้วย”
นางสาวเกษรา กล่าว
สำหรับการปรับตัวของบริษัทในปีนี้นอกเหนือจากจะหันมาเปิดโครงการแนวราบมากขึ้นแล้ว บริษัทยังเห็นช่องว่างในตลาดที่อยู่อาศัยที่จะพัฒนาโครงการระดับราคาจับต้องง่าย และเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เริ่มทำงานอยากมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม โดยบริษัทได้พัฒนาแบรนด์ “เสนาคิทท์” เป็นคอนโดมิเนียมราคาต่ำล้านบาท ตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ เปิดโอกาสให้คนที่รายได้ยังไม่มากสามารถมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองได้
ปัจจุบัน โครงการแบรนด์ เสนาคิทท์ อยู่ระหว่างการเปิดขาย และเตรียมเปิดตามแผนธุรกิจใหม่จำนวน 12 โครงการ มูลค่ารวม 5 พันล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่อยู่ระหว่างการเปิดขาย 4 โครงการ มูลค่า 1.3 พันล้านบาท ได้แก่ เสนาคิทท์ เพชรเกษม-พุทธมณฑล สาย 7, เสนาคิทท์ เอ็มอาร์ที-บางแค, เดอะ คิทท์ รังสิต-ติวานนท์ และเดอะ คิทท์ พลหโยธิน-คูคต ซึ่งได้เปิดขายไปเมื่อปี 63
ส่วนในปี 64 จะเปิดอีก 8 โครงการ มูลค่ารวม 3.7 พันล้านบาท เปิดไปแล้วช่วงไตรมาส 1/64 จำนวน 1 โครงการ คือ เสนาคิทท์ เวสต์เกต-บางบัวทอง ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 50% ส่วนอีก 7 โครงการจะเปิดในช่วงครึ่งปีหลัง ได้แก่ เสนาคิทท์ ฉลองกรุง-ลาดกระบัง, เสนาคิทท์ บางปู, เสนาคิทท์ บีทีเอส สะพานใหม่, เสนาคิทท์ รังสิต-คลอง 4, เสนาคิทท์ เอ็มอาร์ที-บางแค (เฟส 2), เสนาคิทท์ ศรีนครินทร์-ศรีด่าน และเสนาคิทท์ ธรรมศาสตร์-คลอง 1
ในปี 64 บริษัทมีแผนการเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 18 โครงการ มูลค่ารวม 1.67 หมื่นล้านบาท โดยในไตรมาส 3/64 จะมีการเปิดโครงการใหม่อีก 8 โครงการ และในไตรมาส 4/64 จะเปิดโครงการที่เหลืออีก 9 โครงการ แต่อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังไม่คลี่คลายลงชัดเจน บริษัทยังมีการติดตามสถานการณ์ต่อเนื่อง และมีการปรับเปลี่ยนแผนการเปิดโครงการตามความเหมาะสม ซึ่งอาจจะมีการสลับบางโครงการเปิดก่อนและหลังได้ตามสถานการณ์ในช่วงนั้นๆ
ด้านยอดขายในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-พ.ค. 64) บริษัททำได้แล้ว 5 พันล้านบาท โดยที่ยอดขายเริ่มชะลอตัวลงบ้างหลังจากการแพร่ระบาดโควิด-19 รอบ 3 ในประเทศเกิดขึ้น ทำให้ลูกค้าชะลอการซื้อที่อยู่อาศัยลงในระดับหนึ่ง ซึ่งอาจจะมีผลกดดันต่อการขายในช่วงไตรมาส 2/64 บ้าง แต่เชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลังยอดขายจะเริ่มฟื้นกลับมา หากการแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศลดลง และการกลับมาเปิดโครงการใหม่มากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จะช่วยสนับสนุนยอดขายให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1.1 หมื่นล้านบาท
ขณะที่การทำสงครามราคาของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในตลาดยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง เนื่องจากผู้ประกอบต่างๆยังมีความต้องการระบายสต็อกออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างรายได้กลับเข้ามาในแต่ละบริษัท ทำให้ยังคงเห็นการลดราคา และการอัดโปรโมชั่นกระตุ้นอยู่มาก โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าคอนโดมิเนียม ที่มีซัพพลายอยู่ค่อนข้างมาก อีกทั้งยังเป็นตลาดของผู้ซื้อในปัจจุบัน ทำให้ผู้ประกอบการต่างยังคงต้องช่วงชิงโอกาสในการดึงดูดและปิดการขายกับลูกค้ามาให้ได้มากที่สุด เพื่อระบายสินค้าในสต๊อกของแต่ละบริษัทออก ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะในกลุ่มคอนโดมิเนียมยังเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงในปี 64 ต่อเนื่องจากปี 63
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 มิ.ย. 64)
Tags: SENA, คอนโดมิเนียม, หุ้นไทย, อสังหาริมทรัพย์, เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์, เสนาดีเวลลอปเม้นท์