พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบมติจากที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) ที่เตรียมการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ใน 10 จังหวัดนำร่อง ในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 โดยเริ่มที่ Phuket Sandbox เพื่อเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่รับวัคซีนแล้ว 2 โดส ตั้งแต่ 1 กรกฎาคมนี้เป็นต้นไป
สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันในภูเก็ตมีคนฉีดวัคซีน 1 เข็มแล้วกว่า 4 แสนคน มากกว่า 60% ของประชากรในภูเก็ตโดยมีการคัดกรองติดตามตัวนักท่องเที่ยวอย่างเข้มงวด ซึ่งนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาต้องมีใบรับรองในการฉีดวัคซีนครบโดส อย่างน้อย 14 วันก่อนเดินทาง และมีใบอนุญาตเข้าประเทศอย่างถูกต้อง มีการตรวจโรคในระหว่างการพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ ซึ่ง Phuket Sandbox จะเป็นต้นแบบให้กับการเปิดจังหวัดท่องเที่ยวอีกหลายแห่ง โดยครม.รับทราบนโยบาย และผู้ที่เกี่ยวข้องจะนำไปปรับปรุงรายละเอียดให้เกิดความเหมาะสมภายใต้ความสมดุล ทั้งด้านความปลอดภัยด้านสาธารณสุขและการฟื้นฟูเศรษฐกิจไปด้วย ก่อนจะนำเข้าสู่พิจารณาของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.)ชุดใหญ่ และนำมาให้ครม.พิจารณาอนุมัติต่อไป
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลพยายามหาวิธีการแก้ปัญหาให้กับโรงแรมและสถานประกอบการต่างๆ ในกรณีที่ยังมีปัญหาเรื่องจดทะเบียน เพื่อจะได้เตรียมการรองรับการท่องเที่ยวในปีหน้า
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อวานนี้เป็นวันเริ่มต้นโครงการจับคู่กู้เงิน ซึ่งเป็นมาตรการที่ช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านอาหารและภัตตาคาร 1.2 แสนแห่งทั่วประเทศ เพื่อให้เข้าถึงสินเชื่อซอฟท์โลน ที่ร่วมกับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.), ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank , ธนาคารกรุงไทย (KTB), ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) และธนาคารออมสินในการปล่อยเงินกู้ ดอกเบี้ยต่ำ เงื่อนไขพิเศษปลอดหลักทรัพย์ในบางกรณี เพื่อช่วยให้ร้านอาหารสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ โดยไม่ต้องปิดกิจการ หรือเลิกจ้างพนักงาน
ส่วนกรณีที่ธนาคารได้อัพเดตแอปพลิเคชันเป๋าตัง เวอร์ชั่นล่าสุด โดยกำหนดให้ผู้ใช้งาน “เลือก” ให้ความยินยอมเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังได้ชี้แจง และขอให้พิจารณาอย่างรอบคอบ
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เศรษฐกิจภาพรวมในระดับมหภาคยังดีอยู่ โดยเฉพาะในส่วนของการส่งออกที่มีปริมาณการส่งออกมากขึ้น และสถานการณ์เศรษฐกิจในหลายประเทศก็เริ่มฟื้นฟูขึ้น และจากการประเมินจากหน่วยงานในต่างประเทศ ประเมินไว้ว่า หลายอย่างจะดีขึ้นในทุกภูมิภาคของเรา
ในส่วนของไทยต้องเดินหน้าไปสู่เป้าหมายที่ท้าทายว่า ทำอย่างไรให้เศรษฐกิจเดินหน้าได้ ซึ่งวันนี้ยังจำเป็นต้องพึ่งพาเศรษฐกิจตามแนวชายแดน ซึ่งตั้งเป้าไว้ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา เศรษฐกิจตามแนวชายแดน เพิ่งสูงขึ้น 5 แสนกว่าล้าน หรือ 50% ทั้งนี้ การค้าตามแนวชายแดนก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์รอบประเทศเราด้วย
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ขอความเข้าใจร่วมกันด้วยว่า ที่มีการประชุมในเวทีระดับโลกหลายเวที ได้หารือถึงเศรษฐกิจในอนาคตที่ต้องมีการเตรียมความพร้อมรับมือกับพันธะสัญญากับประเทศต่างๆ เพราะไทยอยู่ในห่วงโซ่ของการค้าการลงทุน ซึ่งทุกคนจำเป็นต้องเข้มแข็ง อดทน เพิ่มขีดความสามารถให้สอดคล้องกับมาตรการต่างๆที่รัฐจะออกมา
“วันนี้ย้ำว่า ใน 1 ปีนี้ต้องมีผลสำเร็จจับต้องเป็นรูปธรรมได้ว่าเราแก้ปัญหาอะไรไปแล้วบ้าง แล้ว 1 ปีข้างหน้าจะทำแผนงานอะไรไว้ล่วงหน้า”
พลเอกประยุทธ์ กล่าว
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แผนงานทั้งหมดไม่ใช่นายกรัฐมนตรีเป็นคนกำหนด แต่เป็นการพิจารณามาจากหน่วยงานต่างๆ และส่งมาถึงระดับฝ่ายนโยบาย ซึ่งทุกอย่างต้องเป็นไปตามระเบียบขั้นตอนกฎหมายทิ้งกันไม่ได้
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้แสดงความเป็นห่วงเกษตรกร ชาวนา ชาวไร่ชาวสวน ว่าจะทำอย่างไรให้หลุดพ้นจากความยากจนให้ได้โดยเร็วที่สุด
“ผมได้สั่งการมอบนโยบายไปแล้ว จำเป็นต้องเร่งรัดในหลายกิจกรรมของเราในช่วง 1 ปีที่เหลืออยู่ในรัฐบาลปัจจุบัน และเตรียมพร้อมที่จะทำอะไรให้เกิดผลสัมฤทธิ์ส่งต่อในวันข้างหน้าในรัฐบาลต่อไป”
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
โดยให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติแผนงาน 1 ปี และแผนงานระยะปานกลาง 3 ปี และยุทธศาสตร์ 5 ปี เพื่อให้รัฐบาลชุดต่อไป ซึ่งตนเองไม่ได้ขัดข้องในโครงการที่เสนอขึ้นมา แต่จำเป็นต้องมีการตรวจสอบคัดกรอง ซึ่งมีคณะกรรมการหลายระดับที่จะพิจารณาร่วมกัน โดยไม่ต้องการให้เกิดประโยชน์กับให้ใครทั้งสิ้น แต่ต้องการให้ผลประโยชน์ต้องตกอยู่กับประชาชนคนไทยทุกคนในแต่ละพื้นที่แต่ละจังหวัดให้ทั่วถึงและเป็นธรรม
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึง สถานการณ์เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทในปัจจุบัน ได้อนุมัติไปแล้ว 9.84 แสนล้านบาท เบิกจ่ายไปแล้ว 73 % เหลือเงินกู้ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจำเป็นต้องเก็บไว้สำรองเพื่อลดค่าน้ำค่าไฟให้กับประชาชนต่อไปด้วย
นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า งบประมาณที่มีอยู่รัฐบาลจะใช้อย่างคุ้มค่า และได้เน้นย้ำในที่ประชุมครม.ให้ระมัดระวังการทุจริต และต้องดำเนินการให้เกิดความโปร่งใส และขอให้ทุกฝ่ายเข้าใจว่า ครม. อนุมัติแค่เพียงหลักการ ส่วนขั้นตอนการใช้จ่ายเงินเป็นเรื่องของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งคณะกรรมการต่างๆจำเป็นต้องรับผิดชอบ
ทั้งนี้ ในฐานะที่ตนเองเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร ยืนยันว่า จะทำทุกอย่างให้คนไทยทั้งประเทศไม่มีการละเว้นใคร และจะทำให้มากที่สุดครอบคลุมทุกจังหวัด ไม่ใช่เฉพาะแค่คนรักหรือคนชอบ แม้จะมีคนทั้งเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ไม่สามารถไปโกรธใครได้ แต่ขอให้ระมัดระวังความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นและนำไปสู่ปัญหาบ้านเมืองไม่มีเสถียรภาพเกิดปัญหาตามมาแผนงานที่วางไว้ดำเนินการต่อไม่ได้ และขอให้ทุกฝ่ายรับฟังคำชี้แจงที่เป็นประโยชน์และข้อเท็จจริงการพิจารณางบประมาณในชั้นกรรมาธิการด้วย
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ ครม.มีมติให้นำมติของ ศบศ.ในเรื่องการเปิดประเทศโดยเริ่มที่ Phuket Sandbox นำเข้าสู่ที่ประชุม ศบค.ด้วยว่า การประชุม ศบค. คงมีการประชุมในวันที่ 18 มิ.ย.นี้ ซึ่งมีการนำเสนอข้อสรุปจากที่ประชุม ศบศ.เข้าสู่การพิจารณา และเมื่อศบค.มีข้อสรุป ก็นำเสนอให้ครม.รับทราบต่อไป
ส่วนเหตุผลที่ต้องมีการนำสู่ที่ประชุม ศบค.ด้วยนั้น เพราะจำเป็นต้องดูสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดด้วย ก่อนที่จะอนุมัติเป็นแผนงานต่างๆ และสามารถอนุมัติให้ดำเนินการได้ทันวันที่ 1 ก.ค.นี้แน่นอน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 มิ.ย. 64)
Tags: Phuket Sandbox, ครม., ท่องเที่ยว, ประยุทธ์ จันทร์โอชา, ภูเก็ต, ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์