หุ้นไทยเช้านี้แนวโน้มรีบาวด์จำกัดตามภูมิภาคหลังตัวเลขแรงงานสหรัฐดีกว่าคาด

นักวิเคราะห์ฯเล็งตลาดหุ้นไทยเช้านี้รีบาวด์ในกรอบจำกัด เช่นเดียวกับตลาดภูมิภาคบวกเฉลี่ย 0.5-0.6% หลังตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานสหรัฐฯออกมาดีกว่าคาด และสกุลคริปโทฯมีเสถียรภาพมากขึ้น เป็นบวกต่อกลุ่มเทคโนโลยี อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันร่วง 3 วันซ้อนอาจกดดันกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี และต่างชาติยังขายสุทธิ 8 วันซ้อน แนะติดตามผลประชุม ศบค.ชุดใหญ่ต่ออายุพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และตัวเลข PMI ภาคการผลิต-บริการยุโรปและสหรัฐฯ ให้แนวรับ 1,550-1,545 แนวต้าน 1,565-1,570 จุด

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะรีบาวด์ในกรอบจำกัดในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้บวกเฉลี่ย 0.5-0.6% หลังตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานของสหรัฐฯลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ถือว่าดีกว่าคาด และสกุลเงินคริปโทฯมีเสถียรภาพมากขึ้น เป็นบวกต่อกลุ่มเทคโนโลยี ดังนั้น ตลาดบ้านเราคงจะได้รับอานิสงส์บวกจากหุ้นโลกด้วย

อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันได้ปรับตัวลง 3 วันติดต่อกันอาจกดดันหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มปิโตรเคมี รวมถึงนักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิ 8 วันติดต่อกัน

พร้อมแนะติดตามการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ชุดใหญ่ที่จะพิจารณาการต่ออายุพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯในวันนี้ และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและภาคบริการ ของทั้งยุโรปและสหรัฐฯที่จะทยอยออกมา

โดยให้แนวรับ 1,550-1,545 จุด ส่วนแนวต้าน 1,565-1,570 จุด

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (20 พ.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,084.15 จุด เพิ่มขึ้น 188.11 จุด (+0.55%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,159.12 จุด เพิ่มขึ้น 43.44 จุด (+1.06%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,535.74 จุด เพิ่มขึ้น 236.00 จุด (+1.77%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 3.90 จุด, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 171.36 จุด และดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 134.05 จุด
  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (20 พ.ค.) 1,554.54 จุด ลดลง 7.70 จุด (-0.49%)
  • นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,832.82 ล้านบาท เมื่อวันที่ 20 พ.ค.64
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน มิ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (20 พ.ค.) ปิด 62.05 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 1.31 ดอลลาร์ หรือ 2.1%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (20 พ.ค.) อยู่ที่ 2.21 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 31.39 ทรงตัวจากวานนี้ แม้ดอลลาร์อ่อนค่า จับตา Flow ไหลออก
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานตัวเลขสินเชื่อที่กล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM) หรือสินเชื่อที่เริ่มขาดส่ง 1 เดือนขึ้นไป แต่ยังไม่ถึง 3 เดือนในไตรมาสแรกของปี 2564 ซึ่งเป็นสินเชื่อที่มีนัยที่จะกลายเป็นหนี้เสียหรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ในอนาคต โดยสิ้นไตรมาสแรกของปีนี้ มีสินเชื่อที่กล่าวถึงเป็นพิเศษทั้งสิ้น 1.11 ล้านล้านบาท หรือ 6.44% ของสินเชื่อรวม
  • รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยถึงกรณีที่ผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างต้องการให้ภาครัฐทบทวนแนวทางการกำหนดค่าตัวเลขดัชนีที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของค่างาน (ค่าเค) ของงานก่อสร้างภาครัฐ เพื่อลดผลกระทบจากราคาเหล็กที่ปรับสูงขึ้นในขณะนี้ว่า ผู้รับเหมารายกลาง รายเล็ก ได้รับผลกระทบมาก เพราะไม่สามารถซื้อเหล็กราคาถูกจากผู้ผลิตได้ ดังนั้น จึงเรียกร้องให้รัฐจ่ายค่าเคให้ โดยไม่ต้องให้ค่าเค ณ วันที่หน่วยงานภาครัฐจ่ายให้สูงเกิน 4% ตามกำหนดก็ได้ แค่ขึ้น 2% หรือ 3% ก็อยากให้จ่ายชดเชยให้แล้ว สำหรับค่าเค มี 2 อย่างคือ ค่าเค ณ วันเปิดซอง และค่าเคณวันที่หน่วยงานภาครัฐต้องจ่ายให้ผู้รับเหมา ถ้าราคาเหล็ก และวัสดุก่อสร้าง ณ วันที่รัฐจ่ายค่าเคให้สูงกว่าราคา ณ วันที่นำมาคำนวณในช่วงเปิดซอง รัฐก็จะจ่ายให้ผู้รับเหมา แต่ได้กำหนดว่า ถ้าเกิน 4% ของค่าเค ณ วันเปิดซอง จึงจะจ่ายชดเชยให้ เพราะถือว่าต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นจริง
  • ส.อ.ท.เปิดตัวเลข 4 เดือนแรกกลุ่มยานยนต์ พบการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกเพิ่มขึ้นกระฉูด เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ สอท.ยังไม่ปรับเป้าหมายการผลิตรถยนต์ปีนี้เพิ่มขึ้น จากที่ตั้งไว้ 1.5 ล้านคัน ขอเวลา 2 เดือนเพื่อประเมินทิศทางอีกครั้ง หลังมีปัญหาชิปขาดแคลนทั่วโลก และหวั่นโควิด-19 ระลอก 3 ฉุดรั้ง
  • นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงผลกระทบที่เกิดจากการระบาดของโควิด-19 รอบที่ 3 ว่าส่งผลกระทบให้ยอดการจองรถยนต์ในงานมอเตอร์โชว์ครั้งล่าสุด ที่มีจำนวนยอดจองกว่า 27,800 คัน ที่มีผู้จองรถยนต์ในงานกว่า 30% ขอชะลอการรับรถยนต์ออกไป รวมทั้งยกเลิกการจอง จากปกติที่ยอดชะลอการรับรถยนต์มีเพียง 5-6% เท่านั้น เนื่องจากลูกค้าไม่มั่นใจเรื่องการเงินในอนาคต รวมทั้งธนาคารปฏิเสธการให้สินเชื่อรถยนต์มากขึ้นประมาณ 20-30% จากปกติที่จะปล่อยสินเชื่อให้เกือบหมด แต่เชื่อว่าหากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง ธนาคารจะกล้าปล่อยสินเชื่อได้ตามปกติ และตั้งแต่เดือน เม.ย.เป็นต้นมา มีลูกค้าเข้ามาในโชว์รูมรถยนต์ลดลงกว่า 50% เพราะหลีกเลี่ยงการออกนอกบ้าน
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่าร่าง พ.ร.ก.เงินกู้เพิ่มเติม 7 แสนล้านบาท ช่วยให้รัฐบาลดูแลเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ได้ ซึ่งเป็นวงเงินเพิ่มจาก พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ที่ใช้ไปแล้วเกือบเต็มวงเงิน โดยการกู้เงินเพิ่มยังทำให้ไทยมีหนี้สาธารณะใกล้เพดานความยั่งยืนทางการคลัง 60% ของจีดีพีเร็วขึ้นมาก โดยคาดว่าเมื่อรวมวงเงินกู้เพิ่มเติมประมาณครึ่งหนึ่งของวงเงินกู้ทั้งหมดในปีงบประมาณ 64 จะมีหนี้สาธารณะอยู่ที่ 58.7-59.6% จากสิ้นเดือน มี.ค.64 อยู่ที่ 54.3% ของจีดีพี ทำให้ภาครัฐจำเป็นต้องเตรียมขยายเพดานหนี้สาธารณะให้เร็วที่สุด

หุ้นเด่นวันนี้

  • CGD-W5 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ บมจ.คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์) มีจำนวน 1,653,157,161 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ : 1 หุ้นสามัญใหม่ ราคาการใช้สิทธิ 1.00 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 2 ปี นับจากวันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ (23 เมษายน 2564) ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาทต่อหน่วย กำหนดวันใช้สิทธิครั้งแรก 30 มิ.ย. 2564 และวันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 22 เม.ย. 2566
  • SCGP (กรุงศรี) “ซื้อ”เป้า 60 บาท กำไรสุทธิยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากการเพิ่มกำลังการผลิต และผลบวกจากการเข้าซื้อกิจการในต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมี Sentiment บวกจากการได้เข้าคำนวณในดัชนี MSCI รอบใหม่มีผล 27 พ.ค.
  • PLANET (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 3.00 บาท บริษัทได้ช่วยงานติดตั้งระบบ Call Center ในโครงการ “หมอพร้อม” บนแพลตฟอร์ม Cloud PBX เป็นการโฆษณาและโชว์เทคโนยีในตัว จึงคาดหลังจากนี้บริษัทมีโอกาสจะได้งานภาครัฐอีกมาก ขณะเดียวกันก็จะได้ Track Record และได้ฐานข้อมูลเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อยอด ด้านผู้บริหารตั้งเป้าปี 64 โต 25% คาดปีนี้กลุ่มงาน 5G, Smart City และงาน Cyber Securities เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
  • III (เคจีไอ) เป้า Consensus 9.57 บาท ประเมินแนวโน้ม Earnings momentum จะเร่งตัวขึ้นต่อเนื่องใน Q2-Q3 จากฐานต่ำในปีก่อน และการขนส่งสินค้าทั่วโลกยังเร่งตัวขึ้น จากการรีสต๊อกสินค้าทั่วโลกและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงเริ่มรับรายได้จากธุรกิจ Ship-smile (ธุรกิจ Last mile) และเตรียมขยายสาขาเพิ่ม นอกจากนี้คาดรับ Sentiment บวก จากการลงทุน บ.ขนส่งผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ (รวมถึงวัคซีน) ที่สิงคโปร์ พร้อมประเมินแนวรับ 8.05 บาท แนวต้าน 8.4-8.7 บาท หากผ่านกรอบแนวต้านนี้ไปได้ประเมินมีโอกาสทดสอบแนวต้านถัดไป 9.0 บาท (Stop loss 7.9 บาท)

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 พ.ค. 64)

Tags: , , , , , ,
Back to Top