KBANK เล็งปรับคาดการณ์ GDP ใหม่มิ.ย.นี้ รอดูผลกระจายวัคซีนเป็นตัววัด

นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) มองว่า จากที่ประเทศไทยเผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดระลอก 3 อยู่ในขณะนี้ นโยบายหลักซึ่งเป็นตัวแปรที่สำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย คือ นโยบายด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะการกระจายวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศให้ได้เร็วที่สุด ในขณะที่นโยบายการเงิน และนโยบายการคลังจะเป็นเพียงตัวประกอบเท่านั้น

ทั้งนี้ มีความเห็นที่สอดคล้องกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในเรื่องการกระจายวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ที่ ธปท.ได้ให้สมมติฐานไว้ 3 กรณี คือ

  1. กรณีดีที่สุด หากปีนี้สามารถกระจายวัคซีนได้ 100 ล้านโดส จะมีผลให้ GDP ปี 64 ขยายตัวได้ราว 2% ส่วนปี 65 ขยายตัวได้ 4.7%
  2. กรณีฐาน หากปีนี้สามารถกระจายวัคซีนได้ตามเป้าหมายเดิม 64.6 ล้านโดส จะมีผลให้ GDP ปี 64 ขยายตัวได้ 1.5% ส่วนปี 65 ขยายตัวได้ 2.8%
  3. กรณีแย่สุด หากปีนี้สามารถกระจายวัคซีนได้ไม่ถึง 64.6 ล้านโดส จะมีผลให้ GDP ปี 64 ขยายตัวได้ 1% ส่วนปี 65 ขยายตัวได้ 1.1%

อย่างไรก็ดี ขณะนี้ยังคงประมาณการ GDP ในปี 64 ไว้ที่ 1.8% โดยคาดว่าศูนย์วิจัยกสิกรไทย จะมีการทบทวนประมาณการเศรษฐกิจไทยใหม่อีกครั้งในเดือนมิ.ย.

นายกอบสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า พัฒนาการและความสามารถในการรับมือกับการระบาดของไวรัสโควิดในแต่ละประเทศที่แตกต่างกันไปนั้น ย่อมมีผลต่อพลวัตทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศที่แตกต่างกันไปด้วย ซึ่งจะเห็นว่าในปัจจุบันสถานการณ์โควิดในสหรัฐอเมริกา, อังกฤษ และจีนมีทิศทางที่เริ่มคลี่คลาย เนื่องจากมีการกระจายวัคซีนได้รวดเร็ว โดยสหรัฐอเมริกา สามารถฉีดวัคซีนให้กับประชากรไปแล้วถึง 36% ส่วนอังกฤษ 29% เป็นต้น ซึ่งเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของทั่วโลก ที่มีการฉีดวัคซีนไปแล้ว 4.5% ของประชากรโลก ถือว่าทั้งสหรัฐฯ และอังกฤษทำได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของโลก จึงทำให้ได้เห็นการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้กันบ้างแล้ว

ในขณะที่ประเทศไทย การกระจายวัคซีนยังทำได้ในระดับต่ำเพียง 1.1% ของจำนวนประชากรในประเทศเท่านั้น ดังนั้นหากประเทศใดที่สามารถฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ไว และลดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดได้ดีกว่า ก็จะส่งผลให้เกิดความชัดเจนต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และสามารถเปิดประเทศได้เร็วขึ้น

นายกอบสิทธิ์ กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่จะมีผลต่อการกำหนดทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตลอดจนธนาคารกลางประเทศอื่นๆ ตามมานั้น เฟดเองเชื่อว่าเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงนี้ น่าจะเป็นผลจากการเปรียบเทียบกับฐานที่ต่ำในช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมถึงภาวะตลาดแรงงานในสหรัฐฯเอง ยังไม่พร้อมที่จะทำให้เงินเฟ้ออยู่ในระดับที่ฟื้นตัวอย่างยั่งยืนได้ ดังนั้นจึงทำให้เฟดมองว่า ภาวะอัตราเงินเฟ้อสูงในขณะนี้จึงเป็นเพียงสถานการณ์ชั่วคราว และยังไม่น่าจะส่งผลให้เฟดทำมาตรการลดขนาดงบดุล (QT) ภายในปีนี้ แต่อาจจะได้เห็นในช่วงท้ายของปี 65 แทน

“การที่สหรัฐจะปรับนโยบายการเงินให้แข็งค่าเพียงคนเดียว สิ่งที่จะตามมา คือดอลลาร์จะแข็งค่าเกินไป ผลสุดท้ายเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอ เพราะการที่ดอลลาร์แข็งค่ามากไปจะเสียความสามารถในการแข่งขัน และจะมีผลกระทบในด้านภาวะเศรษฐกิจ ราคาน้ำมันในรูปของดอลลาร์จะลดลง และเงินเฟ้อจะน้อยลง หรืออาจเป็นกึ่งๆ เงินฝืดได้”

นายกอบสิทธิ์ ระบุ

ทั้งนี้ ในแง่ของอัตราแลกเปลี่ยนจะพบว่าเงินบาทในปีที่ผ่านมาอ่อนค่ามาก จากผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากการระบาดของโควิดในรอบแรก แต่ในปีนี้เริ่มกลับมาแข็งค่า 1.8% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ และหากเทียบกับช่วงต้นปีแล้ว เงินบาทอ่อนค่าไปมากกว่าสกุลเงินของประเทศอื่น จากผลของการกลับมาระบาดในรอบที่สาม อย่างไรก็ดี เงินบาทที่อ่อนค่าในช่วงเม.ย.-พ.ค.นี้ ถือว่าเป็นช่วงฤดูกาล เนื่องจากเป็นช่วงที่บริษัทต่างชาติที่มาเปิดกิจการในไทย มีการนำส่งเงินรายได้จากผลประกอบการกลับสู่ประเทศ

“ช่วงเม.ย. พ.ค. บาทจะอ่อนค่ากว่าปกติ เป็นเพราะการจ่ายเงินปันผลของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่เจ้าของเป็นบริษัทต่างชาติ ซึ่งสัปดาห์นี้น่าจะมีการจ่ายปันผล 18,000-19,000 ล้านบาท ส่วนสัปดาห์หน้าอีกราว 6,500 ล้านบาท หลังจากนั้นก็จะหมด จึงเป็นตัวสะท้อนดุลบัญชีเดินสะพัดส่วนหนึ่ง และทำให้เงินบาทอ่อนค่าในช่วงนี้ ซึ่งเป็นภาวะของฤดูกาล”

นายกอบสิทธิ์ กล่าว

อย่างไรก็ดี ธนาคารกสิกรไทยยังคงมุมมองอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงครึ่งปีแรก (สิ้นมิ.ย.) ไว้ที่ 31.10 บาท/ดอลลาร์ ส่วน ณ สิ้นปี 64 คาดว่าจะเฉลี่ยที่ระดับ 29.80 บาท/ดอลลาร์

“กรณีวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า ถ้ามีการส่งมอบได้ตามเป้าหมาย ก็จะเป็นข่าวดี การฟื้นตัวของเศรษฐกิจก็จะค่อยๆ ดีขึ้น สนับสนุนให้เงินบาทกลับไปแข็งค่าขึ้นช้าๆ ไม่ก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับดอลลาร์” นายกอบสิทธิ์กล่าว

ส่วนการปรับตัวลดลงของตลาดคริปโตเคอร์เรนซี จะมีผลต่อตลาดทุนไทยอย่างไรนั้น นายกอบสิทธิ์ มองว่า อาจจะมองเป็นแง่ดีได้ เพราะการลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีในประเทศไทยยังไม่กว้างขวางนัก เพราะไม่เช่นนั้นแล้วจะส่งผลกระทบให้กำลังซื้อ และความมั่งคั่งหายไป ซึ่งภาวะที่เกิดขึ้นกับคริปโตฯ ในขณะนี้น่าจะเป็นการปรับฐาน และยิ่งทำให้เห็นว่าการจะเลือกลงทุนในคริปโตฯ ต้องมีการไตร่ตรองให้รอบคอบก่อน

“การลงทุนในคริปโตฯ ไม่ใช่จะแค่รับรู้แต่ด้านกำไรอย่างเดียว ต้องรับรู้ด้านความเสี่ยงด้วย เพราะยิ่ง high risk ก็ยิ่ง high return”

นายกอบสิทธิ์ กล่าว

พร้อมเสนอให้ทางการพิจารณาว่าก่อนที่จะให้นักลงทุนเปิดรับการลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีอย่างกว้างขวางนั้น ควรต้องมีโครงสร้างในการกำกับดูแลที่มากขึ้น และสร้างองค์ความรู้ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับคริปโตฯ ให้มากพอสมควร เพราะการรับรู้เพียงแค่กำไรหรือผลประโยชน์จากการลงทุนเพียงด้านเดียว โดยไม่พิจารณาความเสี่ยงควบคู่ไปด้วย อาจจะนำไปสู่วิกฤติทางการเงินได้ เช่นเดียวกับวิกฤติซับไพร์มในสหรัฐฯ เป็นต้น เพราะในที่สุดแล้วของฟรีไม่มีในโลก ถ้ากล้าได้ก็ต้องกล้าเสีย

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 พ.ค. 64)

Tags: , , , , , , , ,
Back to Top