นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง สถานการณ์แพร่ระบาดในคลัสเตอร์ต่างๆ ในกรุงเทพมหานครว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้ให้นโยบายแก่กรุงเทพมหานคร (กทม.)ว่า จากนี้ไป 2 เดือน (มิ.ย.-ก.ค.) ให้เร่งตรวจคัดกรองเชิงรุก และฉีดวัคซีนให้ได้อย่างน้อย 5 ล้านคน หรือ ครอบคลุมประชากร 70% เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในเกิดขึ้นในชุมชน ซึ่งมีคำแนะนำของแพทย์และผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ที่ระบุว่า การฉีดวัคซีนจะช่วยระงับการแพร่ระบาดได้ดี
ทั้งนี้ ทางกทม.มีการจัดสรรวัคซีนไปตามโรงพยาบาลและสถานบริการจำนวน 231 แห่ง พร้อมกับได้ร่วมกับภาคเอกชนเปิดสถานที่บริการฉีดวัคซีนอีก 25 แห่ง ซึ่งได้มีการเปิดทดลองเปิดบริการไปแล้วบางส่วน
สำหรับขั้นตอนการขอรับบริการฉีดวัคซีนเบื้องต้นมี 3 แนวทาง คือ ลงทะเบียนผ่านระบบหมอพร้อม ซึ่งขณะนี้มีผู้ลงทะเบียนแล้วเกิน 7 ล้านคน ส่วนการวอล์กอินเพื่อเข้าไปฉีดวัคซีนในจุดบริการต่างๆ จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่มีวัคซีนเพียงพอจะสามารถฉีดให้กับประชาชนได้ทันที แต่หากไม่เพียงพอประชาชนต้องลงทะเบียน ณ จุดบริการนั้นๆ เพื่อรับนัดวันฉีดวัคซีนตามระบบต่อไป
ทั้งนี้ จากนโยบายนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้มีการปูพรมฉีดวัคซีนสามารถนัดมาเป็นกลุ่มเพื่อฉีดวัคซีนได้ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น พนักงานขับรถขนส่งสาธารณะ,พนักงานเก็บขยะ,โรงงาน เป็นต้น โดยแจ้งความจำนงไปที่กระทรวงสาธารณสุข เพื่อนัดหมายในการฉีด
นายอนุชา กล่าวว่า สำหรับตัวเลขผู้ที่หายป่วยจากโรคโควิด-19 และกลับบ้านได้มีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกวัน ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่เป็นกำลังใจให้กับบุคลากรทางการแพทย์ในการปฏิบัติหน้าที่ โดยตัวเลขล่าสุด (19 พ.ค.) มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 4,450 คน แสดงให้เห็นว่า จำนวนผู้ที่หายป่วยรายวันมีมากกว่าจำนวนผู้ที่ติดเชื้อ และมีผู้หายป่วยสะสม 46,942 คน และเป็นตัวเลขที่พิสูจน์ได้ว่า บุคลากรทางการแพทย์และพยาบาลทั่วประเทศทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อให้คนไทยกลับมามีสุขภาพแข็งแรง ซึ่งในส่วนของรัฐบาลยืนยัน จะเร่งจัดหาวัคซีนเข้ามา และปูพรมฉีดให้แก่ประชาขนให้มากและเร็วที่สุด
ส่วนกรณีกระทรวงสาธารณสุขใช้งบประมาณจัดตั้งโรงพยาบาลบุษราคัม ที่อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพค เมืองทองธานี นั้น นายอนุชา ชี้แจงว่า เป็นโรงพยาบาลแบบเต็มรูปแบบไม่ใช่โรงพยาบาลสนาม โดยดูแลเฉพาะผู้ป่วยโรคโควิด-19 สำหรับกลุ่มผู้ป่วยสีเหลือง ที่มีอาการน้อยถึงปานกลางในเขต กทม. และปริมณฑล รวมถึงรองรับกลุ่มผู้ป่วยสีแดงที่ออกจาก ICU เพื่อลดความแออัดในโรงพยาบาล โดยมีการติดตั้งอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ครบครันเหมือนโรงพยาบาลทั่วไป เช่น เครื่องออกซิเจน เครื่องเอกซเรย์ เครื่องช่วยหายใจ รวมถึงระดมทีมแพทย์ พยาบาล มาเต็มกำลัง
ทั้งนี้ นายอนุชา ขอให้ประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงไม่ต้องกังวลการแพร่เชื้อ เพราะมีระบบดูแลความปลอดภัยและป้องกันโรคตามมาตรฐานสาธารณสุขอย่างเต็มที่
สำหรับแนวทางการแก้ปัญหาการติดเชื้อโควิด-19 ในเรือนจำนั้น นายอนุชา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการในที่ประชุมครม.เมื่อวานนี้ ให้เร่งตรวจเชิงรุกในเรือนจำทั่วประเทศให้เร็วที่สุด และให้มีการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในเรือนจำ คัดแยกผู้ป่วยมารักษาและหากเป็นผู้ป่วยหนักให้นำเข้าสู่การรักษาตามระบบต่อไป
พร้อมทั้งให้ความมั่นใจกับประชาชนว่า การรักษาในเรือนจำเป็นระบบปิด ซึ่งการที่จะแพร่ระบาดไปยังชุมชมมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก และได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เพิ่มความเข้มงวดและงดการเข้าเยี่ยมของญาติผู้ต้องขังในขณะนี้จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 พ.ค. 64)
Tags: COVID-19, กระทรวงสาธารณสุข, ตรวจเชิงรุก, ประยุทธ์ จันทร์โอชา, วัคซีนต้านโควิด-19, อนุชา บูรพชัยศรี, โควิด-19