นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์ บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) เปิดเผยว่า บริษัท ประเมินแนวโน้มธุรกิจโรงแรมครึ่งปีหลังนี้ หรือในระยะกลาง ระยะยาว น่าจะปรับตัวดีขึ้น จากการกระจายวัคซีนโควิด-19 ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ที่น่าจะช่วยให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจสามารถกลับมาดำเนินต่อ และประเทศต่าง สามารถกลับมาเปิดพรมแดนได้อีกครั้ง
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าการกระจายวัคซีนโควิดในทวีปยุโรปจะทำได้มากขึ้น โดย 70% ของประชากรผู้ใหญ่ในยุโรปจะได้รับการฉีดวัคซีนภายในสิ้นเดือน ก.ย.นี้ และจะเริ่มผ่อนคลายในเรื่องของการเดินทางลงอีกตั้งแต่ช่วงกลางเดือน พ.ค.-ต้น มิ.ย.64 ส่งผลให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในุโรปมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในช่วงครึ่งหลังของปี 64
ขณะที่ธุรกิจโรงแรมในประเทศออสเตรเลีย ยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยการเดินทางภายในประเทศจะยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าจะไม่มีการเปิดพรมแดนสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติไปจนถึงปี 65
ส่วนประเทศไทย แม้จะเกิดการระบาดของโควิด-19 ระลอกสาม ซึ่งส่งผลให้มีการจำกัดการเดินทางเพิ่มขึ้น แต่การท่องเที่ยวภายในประเทศ ธุรกิจสถานที่กักกันทางเลือก (Alternative State Quarantine) และธุรกิจสถานพยาบาลผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospitel) ซึ่งร่วมมือกับโรงพยาบาลในพื้นที่ จะยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของรายได้ในระยะสั้น
- MINT บวก 3.36% โบรกฯประเมินผลดำเนินงานธุรกิจโรงแรมที่ยุโรปเริ่มฟื้น Q2/64
- โบรกฯเชียร์ ซื้อ MINT คาดเริ่มฟื้น Q1/64 หลังหลายปท.ฉีดวัคซีนหวังท่องเที่ยวหนุน
- MINT ทุ่ม 1.9 พันลบ. ลงทุนธุรกิจโรงแรม หวังสร้างแบรนด์อนันตราในยุโรป
อย่างไรก็ตาม การเปิดประเทศอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มต้นจาก จ.ภูเก็ต จะเปิดโอกาสให้มีการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในระยะยาว
ขณะที่การท่องเที่ยวในมัลดีฟส์ ยังคงมีแนวโน้มที่ดีด้วยแนวคิดหนึ่งเกาะหนึ่งรีสอร์ท และการไม่มีนโยบายกักตัวนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบทางการแข่งข้นที่เป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้ รัฐบาลของประเทศมัลดีฟส์ได้เปิดตัวแคมเปญการท่องเที่ยว “3 V” สำหรับการเข้าประเทศ, ฉีดวัคซีน และท่องเที่ยว (Visit, Vaccinate, Vacation) จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเร่งการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
ด้านแนวโน้มธุรกิจอาหารในปีนี้ ปัจจุบันก็มีการผ่อนคลายมาตรการห้ามนั่งรับประทานอาหารที่ร้านลงบ้างแล้ว แต่บริษัทยังคงดำเนินการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมุ่งเน้นในเรื่องของการมีส่วนร่วมของลูกค้า เพื่อทราบถึงความต้องการของลูกค้าให้มากขึ้น ซึ่งกลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศจีนจะมุ่งขยายแบรนด์ริเวอร์ไซด์ต่อไป โดยอยู่ระหว่างปรับปรุงรูปแบบร้าน ลงทุนเพิ่มเติมด้านเทคโนโลยี และดำเนินโครงการตรวจสอบแหล่งที่มาของปลาที่เป็นวัตถุดิบหลัก ซึ่งจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพในการ ดำเนินงานและสร้างผลตอบแทนให้สูงขึ้น
กลุ่มธุรกิจร้านอาหารประเทศออสเตรเลีย ยังคงให้ความสำคัญกับการปรับปรุงแบรนด์ โปรแกรมความ Loyalty แบบดิจิทัล และแพลตฟอร์มบริการจัดส่งอาหาร ตลอดจนการขยายช่องทางการขายเพิ่มเติม เช่น บริการซื้ออาหารกลับบ้านโดยไม่ต้องลงจากรถ และร้านสะดวกซื้อ ซึ่งขายอาหารกล่อง
นายชัยพัฒน์ กล่าวว่า แนวโน้มธุรกิจไลฟ์สไตล์ จะใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลการบริหารจัดการลูกค้าสัมพันธ์ เพื่อเพิ่มการซื้อผ่านช่องทาง Omni Channel โดยนอกเหนือจากเว็บไซต์ของแบรนด์เองแล้ว ยังมีแผนที่จะร่วมมือกับแพลตฟอร์มการขายออนไลน์รายใหม่เพิ่มเติมเพื่อขยายฐานลูกค้า
ด้านสภาพคล่องทางการเงิน ณ สิ้นเดือนเม.ย.64 บริษัทฯ มีเงินสดในมือประมาณ 2.1 หมื่นล้านบาท และวงเงินสินเชื่อ 2.1 หมื่นล้านบาท เพียงพอรองรับการดำเนินธุรกิจใน 1-2 ปีนี้ ขณะเดียวกันบริษัทยังมีแผนออกหุ้นกู้จำนวนไม่เกิน 6 พันล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการบริหารจัดการหนี้สินและสภาพคล่อง อีกทั้งในปีนี้บริษัทยังลดงบลงทุนลงเหลือ 4,000 ล้านบาท จากเดิม 10,000 ล้านบาทในการลงทุนปกติเพื่อลดค่าใช้จ่ายต่างๆ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 พ.ค. 64)
Tags: MINT, ชัยพัฒน์ ไพฑูรย์, หุ้นไทย, ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล