นายชัยนรินท์ ธีรไชยพัฒน์ นักวิชาการด้านการจัดการยุทธศาสตร์ และวางแผนธุรกิจ ธุรกิจ การบิน ได้วิเคราะห์ถึง วิกฤตการณ์ ของ บมจ.การบินไทย (THAI) ว่า ในช่วงเวลาที่เราชุลมุนกับปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 เช่นทุกวันนี้ เกิดกระแสข่าวว่ากระทรวงการคลังจะเพิ่มทุนใน THAI เพื่อให้คงสถานะการเป็นรัฐวิสาหกิจต่อไป เมื่อพิจารณาสถานภาพของ THAI ซึ่งเป็นบริษัทที่มี 2 สถานะหรือ สวมหมวก 2 ใบในเวลาเดียวกัน หมวกแรก ในฐานะรัฐวิสาหกิจ อีกหมวกหนึ่งในฐานะบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มองแล้วเปรียบเสมือน “นกมีหูหนูมีปีก”
หมวกใบที่ 1 ในมุมมองการเป็นบริษัทมหาชนด้วยการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จากทัศนะ ของ Warren Buffett ต่อกรณีการลงทุนในธุรกิจ Air Lines กล่าวไว้ในปี 2013 ว่า “the airline business a death trap for investors” หรือ “ธุรกิจสายการบินเป็นกับดักมรณของผู้ลงทุน” ซึ่งคนในวงการมักจะพูดกันแบบขำๆ ว่า ถ้าเศรษฐีคนไหนอยากกลายเป็นยาจกให้ทำธุรกิจแอร์ไลน์
อย่างไรก็ตามพบว่า Buffett ตัดสินใจลงทุนในธุรกิจสายการบิน และกลายเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ในอเมริกาในธุรกิจ Airlines 4 แห่ง ได้แก่ United, American, Delta and Southwest airlines โดยมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 10,000,000,000 เหรียญสหรัฐ หรือเท่ากับประมาณ 313,320,000,000 บาท บนความเชื่อของเขาที่ว่าผู้ประกอบการธุรกิจ Airlines จะมีความเข้มแข็งหลังจากได้รับประสบการณ์ และการเรียนรู้จากความผิดพลาดของธุรกิจการบินในอดีต ในด้านการบริหารจัดการ ความมีวินัยมากขึ้น โดยต้องไม่มีการซื้อเครื่องบินข้าประจำการเพิ่มขึ้น และสามารถขยายเส้นทางบินได้เพิ่มขึ้น (By Hugo Martín Staff Writer Los Angeles Times March 15, 2017)
แต่ผลลัพธ์ไม่เป็นไปดัง Buffett คาด และจากวิกฤติของ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อภาวการณ์ลงทุนอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมการบิน ทำให้บริษัทของ Buffett ประสบกับภาวะการขาดทุนสูงถึง 49,700,000,000 เหรียญสหรัฐ หรือเท่ากับประมาณ 1,557,200,400,000 บาท (อัตรา BOT 13 พ.ค. 64) โดย รวมถึง Buffett ยังยอมรับความผิดพลาดที่ลงทุนในหุ้นของสายการบินอีกด้วย
เมื่อพิจารณาจากการตัดสินใจลงทุนของ Buffett ชี้ให้เห็นได้ชัดว่าการตัดสินใจลงทุนในธุรกิจการบินในสถานการณ์เช่นปัจจุบันถูกต้อง และเหมาะสมหรือไม่ โดยส่วนตัวมีความเห็นคล้อยตาม Buffett ว่า Airlines the airline business a “death trap” for investors และอุตสาหกรรมการบินเป็นธุรกิจในช่วงขาลง (Sunset Industry) หรือ (Declining Stage) ซึ่งเป็นไปตามโมเดลวัฏจักรธุรกิจ
นอกจากนี้ปัจจุบันเราได้ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการปฏิวัติเทคโนโลยี และเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ที่กระทบต่อกิจการสายการบินมากมาย อาทิ พฤติกรรมของผู้บริโภคแปลงไป ด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตรกรรมด้านการขนส่งและการสื่อสารที่มีแนวโน้มต้นทุนที่ต่ำกว่าแต่ สมรรถนะ และประสิทธิภาพไม่ต่างกันมาทดแทนการเดินทางด้วยเครื่องบิน การประชุมทางไกลด้วยเทคโนโลยีอินเตอร์เนทความสามารถทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) หรือการที่ภาครัฐออกข้อกำหนดด้านมาตรการควบคุมโรคติดต่อลดจำนวนที่นั่งผู้โดยสารลงส่งผลให้การเดินทางโดยเครื่องบินไม่สะดวกเช่นที่เคยใช้บริการมาแต่ก่อนทำให้ความต้องการ (Demand) เดินทางโดยเครื่องบินลดลง
นอกจากนี้เริ่มมีการพัฒนาพลังงานทางเลือกที่สามารถทดแทนพลังงานจาก Fossil ส่งผลให้กิจการที่ใช้พลังงานจาก Fossil (น้ำมัน) มีแนวโน้มราคาสูงขึ้น
ดังนั้น ในฐานะบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จึงควรใช้กลไกของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งนักลงทุนจะเป็นผู้วิเคราะห์และพิจารณาตัดสินว่า THAI ควรเดินไปในทิศทางใด
หมวกใบที่ 2 ในมุมมองการเป็นรัฐวิสาหกิจ จากคำกล่าวที่เป็นอมตะของนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของอังกฤษ มาร์การเรต แทตเชอร์ กล่าวถึงรูปแบบองค์การที่มีการบริหารจัดการในลักษณะรัฐวิสาหกิจเอาไว้ในปี 2000 ว่า “When State owns, nobody owns, when nobody owns, nobody cares.” หรือแปลว่า “กิจการใดที่ภาครัฐเป็นเจ้าของก็เหมือนไม่มีใครเป็นเจ้าของ เมื่อไม่มีใครเป็นเจ้าของก็ไม่มีใครใส่ใจดูแล” เป็นคำกล่าวที่สามารถอธิบายและสะท้อนให้เห็นภาพและลักษณะเฉพาะตัวของรูปแบบองค์การในรูปแบบรัฐวิสาหกิจได้เป็นอย่างดี
บางท่านอาจเห็นแย้งว่าถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วทำไมในกรณี บมจ.ปตท. (PTT), การไฟฟ้านครหลวง, การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค, การท่าอากาศยาน เป็นรัฐวิสาหกิจและผลประกอบการก็มีผลกำไร กล่าวได้ว่าในกรณีของ 4 รัฐวิสาหกิจ ดังกล่าว เป็นกิจการที่มีบริบท และสภาวะแวดล้อมที่แตกต่างไป กล่าวคือ ทั้ง 4 องค์การ น้ำมัน ไฟฟ้า บริการจัดการอากาศยาน ซึ่งถือว่าดำเนินกิจการในลักษณะผูกขาด กึ่งผูกขาด หรือ คู่แข่งขันน้อยราย แตกต่างจาก THAI ที่มีการแข่งขันสมบูรณ์
ที่ผ่านมาคำกล่าวของนายกรัฐมนตรีหญิงของอังกฤษสามารถสะท้อนให้เห็นภาพของ THAI ได้อย่างชัดเจนว่า “กิจการใดที่ ภาครัฐ เป็นเจ้าของก็เหมือนไม่มีใครเป็นเจ้าของ เมื่อไม่มีใครเป็นเจ้าของก็ไม่มีใครใส่ใจดูแล” เมื่อเกิดวิกฤติก็อาศัยรัฐบาลและเงินงบประมาณที่มาจากประชาชน
“การที่กระทรวงการคลังจะเพิ่มทุนในการบินไทยเพื่อให้คงสถานการณ์เป็นรัฐวิสาหกิจต่อไป มีความจำเป็นเหมาะสม และชอบด้วยเหตุด้วยผลหรือไม่”
นายชัยนรินท์ กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 พ.ค. 64)
Tags: THAI, การบินไทย, ชัยนรินท์ ธีรไชยพัฒน์, ตลาดหลักทรัพย์, บริษัทมหาชน, รัฐวิสาหกิจ, สายการบิน, หุ้นไทย