นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้มีผู้ต้องขังที่ติดเชื้อโควิด-19 รวม 2,833 ราย แยกเป็น ผู้ต้องขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครจำนวน 1,794 ราย และทัณฑสถานหญิงกลางจำนวน 1,039 ราย ซึ่งเป็นยอดผู้ติดเชื้อรวมตั้งแต่เริ่มมีการระบาดระลอกใหม่ในเดือนเมษายนเป็นต้นมา และผู้ติดเชื้อทั้งหมดได้รายงานไปยังศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สำหรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในเรือนจำจะดำเนินการย้ายผู้ติดเชื้อไปยังโรงพยาบาลแม่ข่ายในทันที และจะมีการแจ้งไปยังญาติผู้ต้องขังเป็นการเฉพาะราย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความประสงค์ของผู้ต้องขังว่าต้องการแจ้งญาติหรือไม่ พร้อมทั้งเร่งขยายผลการสอบสวนโรคจากผู้ติดเชื้อดังกล่าวไปยังผู้ต้องขังที่อยู่ในระยะพื้นที่รับเชื้อทุกราย โดยจะตรวจซ้ำยืนยันภายใน 7 วัน และ 14 วัน และในกรณีที่พบผู้ติดเชื้อไม่แสดงอาการหรือเป็นกลุ่มสีเขียว เรือนจำใดที่มีจำนวนผู้ต้องขังติดเชื้อจำนวนมากสามารถขออนุญาตผู้ว่าราชการจังหวัดในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่เรือนจำภายใต้ความเห็นชอบของฝ่ายปกครองพื้นที่สาธารณสุขจังหวัด โดยจะต้องจัดเตรียมบุคลากร สถานที่ อุปกรณ์ เครื่องมือทางการแพทย์ให้พร้อม
“เราจะนำนราธิวาสโมเดลมาปรับใช้ แยกตัวผู้ติดเชื้อออกไปรักษาที่โรงพยาบาลสนามและให้ยาโดยเร็วเพื่อไม่ให้เชื้อลงปอด” นายอายุตม์ กล่าว
โดยมาตรการทางการบริหารนั้นจะดำเนินการตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุขเพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว คือ
- ใช้รูปแบบ Bubble and Seal พื้นที่เรือนจำที่มีการระบาดใหญ่ กันพื้นที่บางแดนเป็นโรงพยาบาลสนาม จะลดการรับตัวผู้ต้องขังรายใหม่ลง โดยส่งเรื่องพิจารณาให้ศาลทราบและพิจารณาหนทางต่างๆ ที่อาจเป็นไปได้ รวมถึงการไต่สวนทางระบบ Video Conference เพื่อหลีกเลี่ยงการส่งผู้ต้องขังไปศาล
- คัดกรองรายใหม่ก่อนเข้าเรือนจำ ทั้งผู้ต้องขังเข้าใหม่ออกศาล หรือกลับจากโรงพยาบาลเป็นเวลาอย่างน้อย 21 วัน และเร่งตรวจหาเชื้อโดยเร็วที่สุด และตรวจซ้ำอีกครั้งก่อนจะจำหน่ายจากแดนกักควบคุมโรคไปยังแดนทั่วไป จากเดิมที่มีการคัดกรอง 3 วันแรกจะเปลี่ยนเป็นคัดกรองตรวจหาเชื้อตั้งแต่วันแรกก่อนที่จะส่งไปเข้าเรือนจำ
- เจ้าหน้าที่เรือนจำทุกแห่งที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องได้กำชับให้อยู่ในพื้นที่บ้านพัก ลดการสัมผัสกับครอบครัว และต้องเข้ารับตรวจ Swap ค้นหากการติดเชื้อที่อาจรับเชื้อมาโดยไม่รู้ตัว โดยวิธี RT-PCR ทุก 14 วัน
ด้าน นพ.วีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวว่า สิ่งที่น่ากังวลในการแพร่ระบาดครั้งนี้ คือเรื่องของสายพันธ์ที่มีความไวต่อการติดเชื้อได้สูง แสดงอาการช้า และมีภาวะแทรกซ้อนอันตราย ซึ่งนับเป็นเรื่องใหม่ที่กรมราชทัณฑ์ต้องเผชิญ อีกทั้งทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ อาจจะมีบุคลากรเฉพาะด้านที่ไม่เพียงพอกับการดูแลผู้ป่วยทั้งหมด
“มีความน่ากังวลเรื่องเชื้อระบาดไว เพราะมาตรการที่ทำในปี 63 พบผู้ติดเชื้อน้อยมาก ไม่ถึง 10 ราย แต่ปีนี้พบมาก” นพ.วีระกิตติ์ กล่าว
ทั้งนี้ได้มีการเร่งจัดหาอุปกรณ์และเครื่องมือเพิ่มเติม ได้แก่ เวชภัณฑ์ ยาต้านไวรัส Favipiravir ที่ยังอยู่ในระหว่างการขอรับการอนุเคราะห์จากกระทรวงสาธารณสุข สถาบันการแพทย์ เช่น โรงเรียนแพทย์ต่างๆ องค์การเภสัชกรรม, ยากลุ่มพิเศษอยู่นอกบัญชียาหลักซึ่งมีราคาสูง (High cost) อยู่ในระหว่างขออนุมัติการจัดซื้อจากกรมราชทัณฑ์, อุปกรณ์เครื่องมือ เช่น เครื่องช่วยหายใจ (Ventilator) พร้อมระบบ High flow oxygen จำนวนอย่างน้อย 5-15 เครื่อง, วัสดุในการตรวจคัดกรองเชื้อ เช่น ชุด PPE ชุด Rapid test สำหรับตรวจ Antigen และ Antibody, พัสดอุปกรณ์ที่จำเป็นในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม เช่น พัดลม (อาจเป็นพัดลมไอน้ำถ้ามีการบุพลาสติกใสผนังลูกกรงห้อง) โทรทัศน์ เพื่อสร้างความสงบใจในโอกาสที่เจ็บป่วยแล้วมากักตัวอยู่ร่วมกันจำนวนมาก รวมถึงระบบไฟฟ้า และประปา น้ำยาทำความสะอาด ของใช้อื่นๆ และระบบการกำจัดขยะติดเชื้อที่เป็นมาตรฐาน ซึ่งต้องเร่งดำเนินการจัดหาเพื่อเตรียมความพร้อม
รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวว่า ด้วยการคัดกรองเชิงรุกแบบ 100% ในปัจจุบัน ซึ่งได้รับการอนุเคราะห์รถพระราชทานวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษ (PCR) มาสนับสนุนการตรวจวิเคราะห์ ทำให้สามารถแยกกลุ่มเป้าหมายที่ติดเชื้อและกลุ่มที่ยังไม่ติดเชื้อแยกจากกันได้อย่างทันท่วงที จึงเป็นประโยชน์ในเชิงระบาดวิทยาในการควบคุมโรค รวมถึงการ X-ray ปอดทุกรายโดยรถพระราชทานจะทำให้ค้นหาผู้ป่วยรายที่มีภาวะแทรกซ้อนปอดอักเสบได้รวดเร็ว นำไปสู่การเริ่มยาแบบก้าวหน้าตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งจะลดผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ และลดอัตราการเสียชีวิต โดยแผนดำเนินการหลังจากนี้ จะเพิ่มศักยภาพของโรงพยาบาลสนาม ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ให้สามารถรองรับผู้ป่วยระดับสีแดง อาการหนัก โดยจะติดตั้งระบบ High Flow Oxygen และเครื่อง Ventilator ประมาณ 5-10 เตียง เพื่อรองรับไว้ และสำรองยาที่ใช้รักษาให้เพียงพอตลอด รวมถึงเตรียมเสนอให้มีการฉีดวัคซีนแก่ผู้ต้องขังในรายที่ไม่ติดเชื้อ และไม่มีภูมิต้านทาน โดยเริ่มต้นในกลุ่มผู้สูงอายุ หรือมีโรคประจำตัว หรือค่า BMI สูง จนครอบคลุมผู้ต้องขังทุกรายในที่สุด ชี้งเรายึดหลักความเท่าเทียมในด้านการรักษาพยาบาล แม้จะอยู่ในสถานะผู้ต้องขังก็ตาม โดยเรียกการบริหารสถานการณ์ครั้งนี้ว่า “ลาดยาวโมเดล”
“เรือนจำเป็นระบบปิดต้องมีการคัดกรอง 100% เมื่อแยกผู้ป่วยออกแล้ว สถานการณ์การแพร่ระบาดน่าจะนิ่ง และพยายามดูแลไม่ให้มีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นจนส่งผลกระทบต่อการรักษาผู้ป่วยภายนอก” นพ.วีระกิตติ์ กล่าว
นพ.วีระกิตติ์ กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง หนึ่งในแกนนำราษฎร ออกมาเปิดเผยว่าติดเชื้อโควิด-19 ว่า กรมราชทัณฑ์ ได้ตรวจหาเชื้อให้ น.ส.ปนัสยา เมื่อวันที่ 23 เม.ย.64 โดยผลตรวจออกมาเป็นลบ ไม่พบเชื้อโควิด-19 และยังได้กักตัว น.ส.ปนัสยา ต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 23 เม.ย.- 5 พ.ค.64 ซึ่ง น.ส.ปนัสยา ไม่ได้ออกไปภายนอกเรือนจำหรือทำกิจกรรมใดๆ จนกระทั่งได้รับปล่อยตัวไปเมื่อวันที่ 6 พ.ค.64 อีกทั้งเมื่อวันที่ 8 พ.ค.64 กรมราชทัณฑ์ยังได้ดำเนินการตรวจหาเชื้อเชิงรุก 100% อีกครั้งในแดนที่ น.ส.ปนัสยา กักตัวอยู่ ซึ่งไม่พบว่ามีผู้ต้องขังคนใดที่อยู่ร่วมกับ น.ส.ปนัสยา ติดเชื้อโควิด-19
สำหรับกรณีของนายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ แกนนำกลุ่มคณะราษฎรที่ต้องดำเนินการตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 ก่อนนำตัวขึ้นศาลเพื่อให้ได้ผลตรวจล่าสุดนั้น ในวันนี้ผลการตรวจนายภาณุพงศ์ฯ พบว่าติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งปัจจุบันได้ถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์แล้ว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 พ.ค. 64)
Tags: COVID-19, กรมราชทัณฑ์, ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล, วีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์, อายุตม์ สินธพพันธุ์, เรือนจำ, เรือนจำนราธิวาส, โควิด-19