นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือน เม.ย.64 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน ในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 124.37 ปรับตัวลดลง 14.6% จากเดือนก่อน ยังคงอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” อย่างต่อเนื่อง
นักลงทุนคาดหวังแผนการกระจายวัคซีนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์โควิด-19 เป็นปัจจัยหนุนมากที่สุด รองลงมาคือผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน และสถานการณ์เศรษฐกิจจีน สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ในไทย รองลงมาคือการถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ และสัดส่วนหนี้ภาคครัวเรือน
ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้
- ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ก.ค.64) อยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” (ช่วงค่าดัชนี 120 -159) ปรับตัวลดลง 14.6% จากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 124.37
- ความเชื่อมั่นนักลงทุนเกือบทุกกลุ่มอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” ยกเว้นความเชื่อมั่นนักลงทุนสถาบันในประเทศอยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว”
- หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ (PETRO)
- หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดแฟชั่น (FASHION)
- ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ แผนการกระจายวัคซีนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ Covid-19
- ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ สถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่
ผลสำรวจ ณ เดือน เม.ย. 64 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่า ความเชื่อมั่นนักลงทุนทุกกลุ่มปรับตัวลดลง โดยความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคลปรับตัวลดลง 7% อยู่ที่ระดับ 129.27 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับตัวลดลง 11% อยู่ที่ระดับ 137.50 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับตัวลดลง 37% อยู่ที่ระดับ 94.44 และกลุ่มนักลงทุนต่างชาติปรับตัวลดลง 20% อยู่ที่ระดับ 120.00
ในช่วงเดือน เม.ย 64 SET Index ผันผวนอยู่ระหว่าง 1,541.12-1,596.27 โดยได้รับแรงกดดันจากการระบาดรอบใหม่ของโควิด-19 จากกลุ่มสถานที่ท่องเที่ยวกลางคืนในกรุงเทพ และแพร่กระจายไปยังหลายจังหวัดทั่วประเทศในช่วงวันหยุดยาวสงกรานต์ที่ประชาชนกลับต่างจังหวัด ซึ่งส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ที่เพิ่มสูงเกินกว่า 1,000 รายต่อวัน อีกทั้งได้รับผลกระทบจากตลาดหุ้นอเมริกาที่ปรับลงอย่างหนัก จากการประกาศข้อเสนอเก็บภาษีกำไรจากการลงทุน (Capital Gains Tax) เพิ่มเกือบเท่าตัว
แต่อย่างไรก็ตาม ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกหลังจากรัฐบาลไทยประกาศแผนการจัดหาวัคซีนทางเลือกเพิ่มขึ้น และ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 วงเงิน 3.5 แสนล้านบาท รวมถึงมูลค่าการส่งออกของไทยเดือน มี.ค. 64 ขยายตัวถึง 8.5% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน
โดย ณ สิ้นเดือน เม.ย. SET index ปิดที่ 1,583.13 ปรับตัวลงลง 0.26% จากเดือนก่อนหน้า
ปัจจัยต่างประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ ความชัดเจนของแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและแผนการจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นภาษีนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนหลังจากไตรมาส 1/64 ขยายตัวมากถึง 18.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว การระบาดระลอกใหม่ที่มีการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19 ในอินเดีย และการประกาศล็อกดาวน์อีกครั้งในหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เยอรมัน ซี่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลก
ในส่วนของปัจจัยในประเทศได้มีการปรับลดการเป้าหมายการขยายตัวของเศรษฐกิจ (GDP) ลงเหลือ 1.5-2.5% จากเดิมที่คาดว่าจะสามารถเติบโตได้ 2.7% หลังจากที่ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ที่เป็นผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยหากไม่นโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐออกมาคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถเติบโตได้ 1.5% แต่อย่างไรก็ตามมองว่าภาครัฐยังคงมีวงเงินที่เหลือสามารถนำมากระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมได้อีกราว 2 ล้านบาท คาดว่าจะมาช่วยหนุนให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้ถึง 2.5%
สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นไทยมองว่ายังคงเป็นขาขึ้นอยู่ แม้ว่าจะมีผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ แต่ยังคงมีแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปีนี้ และปี 65 ที่จะเป็นปีที่อัตราส่วนกำไรต่อหุ้น (EPS) บริษัทจดทะเบียนไทยสามารถเติบโตได้ถึง 20% หลังจากที่สามารถเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามาได้เต็มที่ โดยยังคงต้องติดตามการจัดหาวัคซีนไวรัสโควิด-19 ว่าจะทำได้ตามเป้าหมาย 100 ล้านโดสหรือไม่ และอยากที่จะให้ภาครัฐบาลมีแผนสำรองในการจัดหาวัคซีนเข้ามาเพิ่มเติมด้วย
“ตลาดหุ้นไทยเรายังถือว่าน่าสนใจและอยู่ในช่วงขาขึ้น แม้ว่าจะมีผลกระทบจากการแพร่ระบาดระลอกใหม่เข้ามา แต่ดัชนีปรับตัวขึ้นหรือลงไม่ได้มากนัก และเชื่อว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จะดีขึ้นไม่ช้า ซึ่งหากสามารถทำได้ตามแผนการฉีดวัคซีน การเปิดประเทศแล้วมีนักท่องเที่ยวกลับมาจริง ปีหน้าประเทศไทยจะเป็นประเทศที่น่าสนใจจากการเติบโตของเศรษฐกิจ และกำไรบริษัทจดทะเบียนที่เติบโต ส่วนเงินทุนต่างชาติในปัจจุบันยังถือว่าไหลออกอยู่ หากจะไหลกลับเข้ามาจะต้องดูถึงแผนการต่างๆของประเทศว่าจะทำได้ตามแผนหรือไม่”
นายไพบูลย์ กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 พ.ค. 64)
Tags: FETCO, FETCO Investor Confidence Index, ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน, สภาธุรกิจตลาดทุนไทย, ไพบูลย์ นลินทรางกูร