นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ (JWD) เปิดเผยว่า บริษัทวางแผนการดำเนินงานในระยะเวลา 5 ปี (ปี 64-68) จะผลักดันรายได้เพิ่มขึ้นแตะระดับ 10,000 ล้านบาท และมีอัตรากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 15% ด้วยการขับเคลื่อนธุรกิจให้มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการเดินหน้าขยายการลงทุนด้วยการเข้าซื้อกิจการ (M&A) และการร่วมลงทุน(JV) รวมทั้งเดินหน้าขยายธุรกิจใหม่ที่จะเป็น New S-Curve สามารถต่อยอดธุรกิจปัจจุบัน และขยายการลงทุนในต่างประเทศ เช่น เวียดนาม,กัมพูชา และอินโดนีเซีย
ทั้งนี้ บริษัทได้เตรียมงบลงทุนไว้ราว 15,000 ล้านบาทในช่วง 5 ปีนับจากนี้ ซึ่งแหล่งเงินทุนจะมาจากหลากหลายช่องทางทั้งกระแสเงินสด,วงเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน,การเสนอขายหุ้นกู้ รวมถึงการจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อระดมทุนและทำสัญญาให้เช่าทรัพย์สินแก่กองทรัสต์
“จะเห็นว่าในช่วงที่ผ่านมาเรามีการเติบโตจากการขยายธุรกิจเดิมที่เรามีอยู่ รวมไปถึงการขยายกิจการโดยการเข้าร่วมลงทุน และซื้อกิจการเพื่อขยายเครือข่ายธุรกิจโลจิสติกส์ในไทยและภูมิภาคเอเชีย ซึ่งหลังจากนี้เราก็ยังเดินหน้าการขยายกิจการไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะมีธุรกิจใหม่ที่จะเป็น New S-Curve เข้ามาเสริมเพิ่มเติมด้วย”นายชวนินทร์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทคาดว่าจะนำบริษัท เจดับเบิ้ลยูดีทรานสปอร์ต (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ JWD ที่ถือหุ้นอยู่สัดส่วน 70% เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายในปี 65-66
ล่าสุด เจดับเบิ้ลยูดีทรานสปอร์ต ได้บรรลุข้อตกลงเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดในบริษัท วีเอ็นเอส ทรานสปอร์ต จำกัด (VNS) และทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง โดยจะใช้เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 200 ล้านบาท ภายหลังควบรวมกิจการแล้วบริษัทจะเดินหน้าขยายฐานธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าอื่นๆที่มีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว อาทิ การรับขนส่งสินค้าเคมีภัณฑ์และสินค้าอันตราย, สินค้าทั่วไป, สินค้าขนาดใหญ่, บริการขนส่งด่วนแบบควบคุมอุณหภูมิ, บริการขนส่งข้ามแดน ฯลฯ โดยจะเริ่มรับรู้รายได้จากการลงทุนตั้งแต่ไตรมาส 2/64 เป็นต้นไป
เจดับเบิ้ลยูดีทรานสปอร์ต คาดว่าปีนี้จะมีรายได้เพิ่มเป็นกว่า 800 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 1 เท่าตัว จากปีที่ผ่านมาที่ทำได้ราว 400 ล้านบาท ขณะที่คาดว่าในช่วงปีที่เข้าตลาดหลักทรัพย์จะมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 1,300-1,400 ล้านบาท
ส่วนธุรกิจห้องเย็น บริษัทมีแผนขยายการลงทุนธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็น (Cold Storage) ในรูปแบบการลงทุนเองหรือร่วมทุนกับ พาร์ทเนอร์ที่สนใจ เพื่อพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าห้องเย็นในจังหวัดที่มีศักยภาพ ที่จะใช้เป็นฮับหรือศูนย์กลางรวบรวมสินค้าแก่ ซัพพลายเออร์ในพื้นที่หรือจังหวัดใกล้เคียงและส่งต่อไปถึงจุดหมาย โดยให้ความสนใจพื้นที่ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือถึงภาคกลางตอนบน ธุรกิจโลจิสติกส์ในต่างประเทศอีก 5 ปีข้างหน้า จะเน้นลงทุนในประเทศกัมพูชา เวียดนาม และอินโดนีเซีย ผ่านการลงทุนเองและควบรวมกิจการ
นายชวนินทร์ กล่าวว่า สำหรับการลงทุนขยายธุรกิจใหม่ บริษัทจะรุกขยายฐานธุรกิจ B2C (Business to Customer) โดยจะมุ่งผลักดันธุรกิจให้บริการ Self-Storage (ห้องเก็บของส่วนตัวให้เช่า) เติบโตอย่างก้าวกระโดด ปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้การลงทุนร่วมกับพาร์เนอร์ต่างชาติซึ่งเป็นเจ้าของโมเดลธุรกิจให้บริการค้นหาและจองพื้นที่ห้องเก็บของส่วนตัวให้เช่าผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งมีพื้นที่ให้บริการครอบคลุมในภูมิภาคเอเชีย ทั้งนี้การร่วมมือดังกล่าวสามารถผลักดันให้ JWD ก้าวเป็นผู้ให้บริการ Self-Storage ระดับภูมิภาค
ขณะที่อีก 2 บริการเพิ่มเติมสำหรับรองรับการขยายตัวของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ คือ บริการระบบจัดการคลังสินค้าออนไลน์ Order Fulfillment สำหรับคลังแห้งและแบบควบคุมอุณหภูมิที่ JWD มีองค์ความรู้และศักยภาพคลังในทำเลยุทธศาสตร์พร้อมอยู่แล้ว โดยในเฟสแรกมีพื้นที่ให้บริการ 5,920 ตารางเมตร วางแผนเปิดให้บริการภายในเดือนก.ค.นี้ และบริการ Cold Chain Express ซึ่งที่ผ่านมามีการเติบโตแบบก้าวกระโดดสอดรับกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคปัจจุบันยุค New Normal บริษัทวางแผนเจาะกลุ่มเป้าหมายสินค้าเพื่อสุขภาพและยาเพิ่มเติม
อีกหนึ่งขาธุรกิจที่ช่วยเสริมการเติบโตของ New S-Curve คือ การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่าง บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ และ JWD ภายใต้ชื่อ บริษัท ออริจิ้น เจดับเบิ้ลยูดี อินดัสเทรียล แอสเซท จำกัด เพื่อดำเนินกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโลจิสติกส์ ทั้งในส่วนของคลังสินค้าอัจฉริยะที่เป็นสมาร์ทแวร์เฮ้าส์ โครงการคลังสินค้าที่สร้างขึ้นตามความต้องการเฉพาะ (Built-to-Suit) และโครงการห้องเย็นสำเร็จรูป (Cold Storage) เป็นต้น ซึ่งขณะนี้มีความต้องการใช้งานจำนวนมาก รวมทั้งการจัดตั้งทรัสต์เพื่อการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือ กองรีทเพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต
บริษัทยังศึกษาโอกาสเข้าลงทุนในธุรกิจสตาร์ตอัพด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวเนื่องกับโลจิสติกส์ในไทยและต่างประเทศเพื่อต่อยอดกับธุรกิจในปัจจุบัน หรือลงทุนในธุรกิจที่สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 10-12% หรือเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตและกำลังเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ล่าสุดได้เข้าลงทุนในธุรกิจสตาร์ตอัพด้านระบบบริหารจัดการร้านอาหาร เพื่อต่อยอดขยายธุรกิจ Food Services และ Cold Chain Express Delivery เพื่อรองรับบริการด้าน Restaurant Platform ที่ทำหน้าที่เป็นเสมือนซูเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์ที่เป็นแหล่งรวมรวบวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหาร เพื่อให้ผู้ประกอบการร้านอาหารต่าง ๆ เลือกซื้อ โดยสามารถรวบรวมปริมาณการสั่งซื้อจากร้านอาหารต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ซึ่ง JWD จะทำหน้าที่รวบรวม คัดแยกและบริการจัดส่งวัตถุดิบไปยังร้านอาหารต่าง ๆ
นายชวนินทร์ กล่าวเพิ่มเติมถึงทิศทางผลประกอบการปีนี้บริษัทยังคงเป้ารายได้โตไม่ต่ำกว่า 15% จากปีก่อน โดยมั่นใจว่าผลงานในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้จะทำได้ตามเป้าหมาย แม้มีสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ เนื่องจากตลาดที่บริษัทเข้าไปจับเป็นเทรนด์ที่กำลังเติบโต และมีการกระจายความเสี่ยงรวมถึงการขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศด้วย
ด้านงบลงทุนปีนี้บริษัทเตรียมไว้ประมาณ 1,000-1,200 ล้านบาท สำหรับใช้ซ่อมบำรุงหรือดูแลทรัพย์ประมาณ 200-300 ล้านบาท และใช้ในการขยายกิจการเดิม เช่น การก่อสร้างคลังสินค้ามูลค่า 300-400 ล้านบาท และที่เหลือสำหรับซื้อกิจการ (M&A) และขยายกิจการในธุรกิจใหม่ๆ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 เม.ย. 64)
Tags: JWD, ขนส่งสินค้า, ชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา, หุ้นไทย, เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์, โลจิสติกส์