นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย (KTB) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ต่อเนื่องจากต้นปี และคาดว่าจะต้องใช้เวลาราว 2 เดือน (พ.ค.-มิ.ย.64) หลังจากนั้นสถานการณ์จะปรับตัวดีขึ้น โดยใช้ประสบการณ์จากช่วงสองครั้งแรกที่ผ่านมาใช้ระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 2 เดือน จะทำให้ทุกอย่างปรับตัวดีขึ้น
ทั้งนี้ มองว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะกระทบกับการท่องเที่ยวส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 3 หมื่นล้านบาท ในช่วงเดือน ม.ค.และ ก.พ. และ คาดว่า เม.ย. และ พ.ค. จะต่ำกว่า 2-3 จากช่วงปลายปี 63 ที่การท่องเที่ยวในประเทศมีมูลค่าสูงกว่า 5 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้การจับจ่ายใช้สอยของประชาชนปรับตัวลดลงไปด้วย จึงมองว่าจะกระทบอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ปีนี้ลดลง 1.3% จากที่คาดการณ์ไว้ 2.5%
แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้น จึงคาดว่าการส่งออกจะเข้ามาช่วยหนุนระ GDP เพิ่มขึ้น 0.3% จึงมองว่าภาพรวม GDP ของไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ 1.5% และหากรวมกับวงเงินที่ภาครัฐบาลจะสามารถนำมากระตุ้นเศรษฐกิจได้อีก 2 แสนล้ารบาท โดยหากภาครัฐได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นโครงการเราชนะ หรือ โครงการคนละครึ่งเฟส 3 ตลอดจนโครงการเที่ยวด้วยกัน จะส่งผลทำให้ GDP เพิ่มขึ้น 1.5% ดังนั้นกรณีที่ดีที่สุด GDP ของไทยในปีนี้อาจจะเติบโตได้ราว 3%
สำหรับภาพรวมผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์คาดว่าในระยะเวลา 1-3 ปีข้างหน้า มีแนวโน้มเติบโตเพียง 3.6% ต่ำกว่าช่วงก่อนหน้าที่เคยเติบโตได้ 7.2% เนื่องจากกำลังซื้อในประเทศโดนกดดันจากเศรษฐกิจที่คาดว่าจะฟื้นตัวได้ไม่เร็วนัก และ หนี้ครัวเรือนในระดับสูงที่ 89.3% ต่อจีดีพี ส่วนกำลังซื้อของชาวต่างชาติถูกจำกัดจากมาตรการเดินทางระหว่างประเทศ นอกจากนี้ ธุรกิจที่เคยเป็นแหล่งรายได้เสริมให้กับผู้พัฒนาอสังหาฯ ก็มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ช้าเช่นกัน
“ธุรกิจหลัก และ ธุรกิจเสริมของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในปัจจุบันเผชิญความเสี่ยงจากโควิด-19 ธุรกิจเสริมไม่ว่าจะเป็นอพาร์ทเม้นท์ หรือ โรงแรมต่างก็ได้รับผลกระทบจากการหายไปของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่วนออฟฟิศสำนักงานให้เช่าที่กำลังถูกดิสรัปจากการเวิร์คฟอร์มโฮมเป็น New Normal จึงเป็นการยากที่ธุรกิจเหล่านี้จะสามารถช่วยประคับประคองผลการดำเนินงานได้ ทำให้มองว่าผู้พัฒนาอสังหาฯ จำเป็นต้องหาแหล่งรายได้เสริมใหม่”นายพชรพจน์ กล่าว
นายกิตติพงษ์ เรือนทิพย์ นักวิเคราะห์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ธุรกิจติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปมีศักยภาพในการเป็นแหล่งรายได้เสริมให้กับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้ เนื่องจากมูลค่าตลาดมีแนวโน้มสูงถึง 1.37 แสนล้านในช่วง 10 ปีข้างหน้า โดยนอกจากกระแสรักษ์โลก และ สิ่งแวดล้อมแล้ว ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความต้องการใช้โซลาร์รูฟท็อปมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้นมาจากความคุ้มค่า ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากราคาต้นทุนโซลาร์รูฟท็อปที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ราคารับซื้อไฟที่เพิ่มขึ้น รวมถึงโควตารับซื้อไฟของภาครัฐที่เพิ่มขึ้นในอนาคตข้างหน้า
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 56 ราคาแผงโซลาร์ในไทยลดลงกว่า 66% ประกอบกับ ราคารับซื้อไฟของภาครัฐที่เพิ่มขึ้นเป็น 2.2 บาท/หน่วย ทำให้ระยะเวลาคืนทุนจากการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเร็วขึ้นจาก 17-30.3 ปี ในปี 56 เหลือ 6.1-13.9 ปี ในปี 64 และ อาจเหลือเพียง 5.3-12 ปี ภายในระยะเวลาไม่กี่ปีข้างหน้า เนื่องจากราคาแผงโซลาร์ยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงต่อเนื่อง
ขณะที่ประเมินว่ามีครัวเรือนไทยถึง 2.3 ล้านครัวเรือนที่สามารถติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป และ คุ้มทุนได้ค่อนข้างเร็ว หากครัวเรือนกลุ่มนี้เพียง 20% หันมาติดแผงโซลาร์ก็จะทำให้มูลค่าตลาดสูงถึง 1.37 แสนล้านบาท
ด้านนายกณิศ อ่ำสกุล นักวิเคราะห์ กล่าวเสริมว่า จากโครงการก่อสร้างของผู้พัฒนาอสังหาฯ ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาคาดว่า จะมีบ้านกว่า 1 แสนหลังที่มีโอกาสจะติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ซึ่งผู้พัฒนาอสังหาฯ มีข้อได้เปรียบในการนำเสนอ solution ให้กับครัวเรือน เนื่องจากผู้ประกอบการในธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ โดยส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์อันดีกับลูกบ้านเดิมอยู่แล้ว และ ยังมีความน่าเชื่อถือ ซึ่งอาจจะทำให้ลูกบ้านกล้าลงทุนในระบบโซลาร์รูฟท็อปที่มีอายุการใช้งานนานถึง 25 ปี
กลยุทธ์ที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ สามารถเข้าสู่ตลาดได้เร็ว คือ การเป็นพันธมิตรกับบริษัทรับติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป เช่น กรณีของบริษัท Stockland ซึ่งเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในออสเตรเลีย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 เม.ย. 64)
Tags: krungthai COMPASS, KTB, กณิศ อ่ำสกุล, กิตติพงษ์ เรือนทิพย์, ธนาคารกรุงไทย, พชรพจน์ นันทรามาศ, แผงโซลาร์, โซลาร์รูฟท็อป